วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ป่าช้าบางแสน

สมัยหนุ่มๆ ผมชอบไปเที่ยวบางแสนกับเพื่อนฝูงในบริษัทที่กรุงเทพฯ บังเอิญมีเพื่อนเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยครูบางแสน (ม.บูรพาในปัจจุบัน) เวลาเรายกโขยงไปทีก็นัดแนะเพื่อนอาจารย์มาร่วมวงด้วยเป็นประจำ จนพลอยสนิทสนมคุ้นเคยกันทุกคน

ครั้งหนึ่ง มีเพื่อนชื่อโก้-ฉายา "แฟมิลี่แมน" หรือ "พ่อบ้านแสนดี" พาครอบครัวไปเที่ยวด้วย คือเมียกับลูกชายชื่อตั๋นอายุราว 8-9 ขวบได้ เปิดห้องโรงแรมชายหาดอยู่ใกล้ๆ กัน อาจารย์กิตติก็มาสมทบด้วยตามเคย

ตอนบ่ายแก่ๆ เรามาตั้งวงกันที่ข้างสระน้ำหน้าโรงแรม ถัดไปเป็นบังกะโลที่บังเอิญเต็มหมด ไม่งั้นเราก็จะจองหลังใหญ่เอาไว้สรวลเสเฮฮากันได้เต็มที่

แหม! ถึงแม้สมัยนั้นสาวๆ จะนุ่งวันพีซโชว์ขาอ่อนขาวๆ อวบๆ อย่างเดียวพวกผู้ชายก็ตื่นเต้น จ้องมองแทบจะไม่กะพริบตาไปตามๆ กันแล้ว วันนั้นพ่อเจ้าตั๋นนึกยังไงไม่รู้ เล่าว่าลูกชายจอมซนคนเดียวนั่นเก่งทุกอย่าง ไม่ว่าปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา เสียอย่างเดียวเท่านั้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่าจะหัดให้ลูกก็ไม่มีโอกาสซักทีเพราะบ้านไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง

อาจารย์กิตติโพล่งว่า "ง่ายนิดเดียว ถ้ากล้ากระโดด น้ำลงสระนั่นหนสองหน รับรองว่าว่ายน้ำเป็นแน่ๆ ว่าแต่จะใจถึงหรือเปล่าล่ะ?"

"ถ้าตั๋นจมน้ำตายล่ะ ใครจะช่วย?" เด็กจอมแก่นแย้ง

"พ่อตั๋นไง ไปยืนรอในสระ พอตั๋นโดดตูมพ่อก็รับ... ขึ้นไปบนสปริงบอร์ดแล้วกระโจนลงมาเลย"

เด็กชายตั๋นต่อรองว่าขอเป็นกระโดดข้างสระได้ไหม เพราะข้างบนมันน่าหวาดเสียวเกินไป...อ้อ! ต้องมีค่าจ้างด้วยนะ! เล่นเอาอาจารย์กิตติบอกว่าได้เลย ถ้าตั๋นกล้าโดดลุงจะจ่ายให้ยี่สิบบาท!

"ตกลงฮะ" เด็กชายตอบอย่างไม่ลังเลแล้วลุกขึ้นยืน แม้ว่าแม่จะห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเสียง เล่นเอาเจ้าโก้ผู้พ่อรีบเผ่นลงสระไปรอรับลูกชาย เด็กจอมแก่นไปหยุดอยู่ข้างขอบสระแล้วกระโดดตูมในท่าทิ้งลูกมะพร้าวทันที แม่วิ่งตามไปดูก็เห็นลูกชายจมดิ่งก่อนจะโผล่ขึ้นมาตาลีตาเหลือก พ่อของมันรีบคว้าตัวเข้าหาขอบสระ ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว

พอกลับมานั่งตามเดิม อาจารย์กิตติก็ส่งเงินให้ยี่สิบบาทตามสัญญา ถามว่ากลัวมั้ย? เจ้าตั๋นบอกได้ตังค์แล้วไม่กล้ว! แม่ที่กำลังเช็ดตัวให้ลูกชายยังอดหัวเราะไม่ได้ แต่เด็กจอมแก่นกลับเรียกร้องโบนัสหน้าตาเฉย

"ลุงกิตติต้องเล่าเรื่องผีให้ตั๋นฟังมั่งซีฮะ พ่อบอกว่าแถวโรงเรียนลุงน่ะผีดุไม่ใช่หรือฮะ? แล้วตั๋นจะกระโดดน้ำแถมให้อีกสองที"

ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่อาจารย์กิตติเอง ก่อนจะเล่าเรื่องผีตามสัญญา!

ที่หน้าวิทยาลัยนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่มาก่อน ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่วัดตามความเจริญของบ้านเมือง ป่าช้าเก่าก็เลยกลายเป็นสวนมะพร้าวร่มครึ้ม ไม่ว่าอาจารย์หรือนักศึกษาชอบใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปออกถนนใหญ่ โดยตั้งต้นที่ร้านข้าวแกงเจ๊เล็ก แม้ว่าในสวนนั้นค่อนข้างจะเปลี่ยว แม้แต่ตอนกลางวันก็น่าวังเวงใจชอบกล

มีคนถูกผีหลอกที่นั่นหลายราย คือเห็นเงาวับๆ แวมๆ อยู่แถวโคนต้นมะพร้าวทั้งที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอยู่เลย

บางคนขี่จักรยานไปดีๆ ก็มีเสียงตุ๊บๆๆ ดังขึ้นข้างหลังเล่นเอาสะดุ้งโหยง จนรถแทบล้ม...เสียงลูกมะพร้าวหล่นแท้ๆ แต่กลับไม่มีให้เห็นแม้แต่ลูกเดียว

วันหนึ่ง อาจารย์กิตติก็เจอะเจอเข้ากับตัวเอง!

ขณะที่เพิ่งปั่นรถออกจากหน้าร้านข้าวแกงไปในสวนได้ไม่ถึงห้านาที ก็เห็นร่างตาแป๊ะหลังโกง สวมเสื้อผ้าแบบคนจีนสีดำ มายืนโบกมืออยู่ข้างต้นมะพร้าวข้างหน้า ห่างออกไปราวสิบก้าว...แต่เมื่ออาจารย์ชะลอรถเข้าไปจอดที่นั่นกลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่เงา...

"อะไรกันวะ?" เขาพึมพำพลางเกาหัวแกรก เสียงยอดมะพร้าวไหวซ่าทำให้ขนลุกเมื่อนึกถึงเรื่องผี รีบปั่นจักรยานพุ่งออกไปทันที

ฉับพลันนั้น เกิดมีแรงปะทะดังลั่นเข้าที่ล้อหลังจนรถเสียหลักล้มโครม แข้งขาถลอกปอกเปิกไปหมด แต่ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านั้น...และไม่กล้าใช้ทางลัดผีดุนั่นอีกต่อไป

เจ้าตั๋นนั่งอ้าปากค้าง ลืมตาโพลงอย่างตื่นเต้นตลอดเวลา หน้าตาไม่เหลือความแก่นแก้วเหลืออยู่อีกเลย...ไปบางแสนเที่ยวนั้นนอกจากจะได้ฟังเรื่องผีแล้วยังทำให้เจ้าตั๋นว่ายน้ำด้วยครับ!

1 ความคิดเห็น:

  1. อยู่บางแสนมา 10 กว่าปียังไม่เคยเจอเลย
    แต่ก็ไม่อยากเจอนะ

    ขอบคุณนะอุตส่าห์มาเล่าให้ฟัง

    ตอบลบ