วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรงแรมนรก!!

สมัยหนุ่มผมได้ชื่อว่าเป็นนักเที่ยวฉกาจฉกรรจ์คนหนึ่ง ในฐานะเด็กกรุงเทพฯ ตัวจริงเสียงจริง คือเกิดและเรียนหนังสือจนโตเป็นหนุ่มอายุต้นสามสิบ ก็ตะลอนๆ อยู่ในเมืองหลวงนี่แหละครับ ต่างจังหวัดนานๆ ถึงจะโผล่ไปเที่ยวสักครั้ง

บ้านช่องที่ไม่ใช่ห้องหออยู่ถนนทรงวาดครับ แถวราชวงศ์หรือเยาวราชนี่ถือว่าบ้านตัวเองเพราะย่ำเป็นเทือกจนทะลุปรุโปร่ง เติบกล้าเข้ายิ่งมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ เลยได้เที่ยวไปถึงตรอกเต๊าตรอกโพธิ์ ยันโรงหมูและตรอกสลักหิน หัวลำโพง ที่มีคุณตัว...สมัยนั้นเรียกว่า "ผีเสื้อราตรี" คึ่กๆ ใครว่าแถวนั้นนักเลงเยอะคงไม่จริงมั้งครับ

โธ่! ก็เพื่อนๆ ผมน่ะล้วนแต่นักเลงเรียกพี่ จะเข้าตรอกไหนซอยใดไปยันรองเมืองหรือข้ามฟากไปสะพานเหลือง บอกได้คำเดียวว่าหายห่วงจริงๆ เอ้า!

แถววงเวียน 22 กรกฎา (ไม่มีคม) ก็หยอกอยู่หรือนั่น

อ้อ! สมัยนั้นถือว่าเป็นแหล่งกิน, เที่ยวและเล่นนะครับ ไม่ว่าใครชอบอะไรเป็นมีสนองทุกอย่าง โรงแรมใหญ่ๆ อย่างไทเป, 22 กรกฎา คึกคักแทบทั้งวันทั้งคืน โรงแรมเล็กๆ อย่างไมตรีจิตต์, สันติภาพ ฯลฯ ก็ดาษดื่นไปหมด รวมทั้งโรงแรมไร้ชื่อตามซอยแคบๆ ขนาดพอเดินสวนกันได้ บันไดขึ้นก็อยู่ติดกับทางเดินนั่นเอง...สนใจเลี้ยวขวับขึ้นไปได้ทันที

ไม่ว่าบนวงเวียนหรือตามโรงแรมจิ้งหรีดที่ว่า จะมีผีเสื้อราตรีมา เตร็ดเตร่คอยล่าเหยื่อหนาตา ประมาณว่าไม่ต่ำกว่าร้อยคนขึ้นไป!

ต่อมาเรียกว่าผีเสื้อราตรีไม่ถูกต้องแล้วละครับ เพราะพวกเธอมาเดินส่ายอกบิดสะโพกตอนกลางวันก็มี...นักเที่ยวเรียกกันว่า "รอบเช้ากับรอบค่ำ" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ รอบเช้าน่ะราวแปดโมงก็มายืนเตร่ สอดส่ายสายตาหาเหยื่อกันแล้ว ราวสี่ซ้าห้าโมงเย็นถึงจะหายหน้าไป คราวนี้ก็ถึงเวลาของพวกรอบค่ำออกมาครอบครองพื้นที่แทนไปจนดึกดื่นค่อนคืน

พวกนักเที่ยวล้วนยืนยันตรงกันว่ารอบเช้าขาวสวยหมวยอึ๋มกว่ารอบบ่าย...แต่ทุก คนจะถือถุง "โชคดี" เป็นเครื่องหมายการค้า พวกรอบเช้ามักจะมาจากที่อื่น แต่พวกรอบเย็นส่วนมากเช่าห้องโรงแรมจิ้งหรีดอยู่ต่างบ้านไปเลย

อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับรุ่นพี่ที่พาผมขึ้นไปดูตัวตามห้องเลย เพราะสนิทกับหลงจู๊และสาวๆ ที่เช่าห้องอยู่ถาวร

บางวันเราก็นึกครึ้มไปเปิดห้องโจ้เหล้า คุยกันเรื่องบ้าๆ บอๆ ตามประสาขาเมา...ผมเคยเมาจนไม่อยากกลับบ้าน ขอนอนค้างที่นั่นเลย...คืนแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปาเลยแหละคุณ!

คืนนั้นเพื่อนๆ กลับกันหมดแล้วผมก็หลับสนิทอยู่บนเตียงเก่าแก่ ไม่ต้องมีมุ้งแบบก่อนเพราะมีมุ้งลวดตามยุคสมัย...ไม่แน่ใจว่ากำลังตกอยู่ใน ความฝันหรือลืมตาตื่นกันแน่ เมื่อได้ยินเสียงลากเกี๊ยะโกรกกรากไปมาอยู่หน้าห้อง ตามด้วยกลิ่นแป้งน้ำฉุนเฉียว สะกดความรู้สึกให้พร่ามึนอย่างประหลาด...

เสียงทุบประตูดังขึ้น 3-4 ครั้ง ผมอยากจะร้องถามว่าใคร? หรือลุกไปเปิดดูให้รู้แน่ แต่ทำไมหนังตามันหนักอึ้งเหลือเกิน...เนื้อตัวก็เหมือนถูกถ่วงด้วยท่อนเหล็ก จนแทบขยับไม่ไหว...ได้ยินเสียงโครม! แล้วชายกำยำก็ถลันพรวดเข้ามา

"เฮ้ย..." ผมคิดว่าร้องออกไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงตัวเองแม้แต่นิดเดียว...เห็นหญิงสาวผมยาวนุ่งโสร่งดอกหนา เผ่นออกจากเตียง พร้อมๆ กับชายนั้นแช่งด่าดุเดือดพลางเงื้อมีดขึ้นจ้วงอกหญิงสาวอย่างเ...้ยมเกรียม

ผมพลิกตัวจนหล่นพลั่กตกเตียงตอนนั้นเอง!

เสียงแผดร้องโหยหวนชวนสยองดังลั่นห้อง เลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ โสร่งดอกหนาหลุดลุ่ยกองกับพื้น สะโพกหนั่นหนาและท่อนขาอวบขาวมีเลือดแดงๆ ไหลย้อยลงมา ขณะที่ชายนั้นเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง...คราวนี้กะซวกลงที่ทรวงอกตัวเองจนมิด ด้าม

ผมอ้าปากค้างตะลึงงัน เมื่อชายหญิงคู่นั้นหันขวับมาหาผมเหมือนเพิ่งจะมองเห็นร่างอาบเลือดและแววตา ขุ่นขวางที่จ้องมอง เล่นเอาผมแทบสติแตกในบัดดล!

นรกเป็นพยาน! ร่างอุบาทว์ทั้งสองก้าวเข้ามาหาช้าๆ ขณะที่กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนแทบขย้อน...ผมอยากจะเผ่นหนี แต่ก็ลุกไม่ไหว ได้แต่ตะกายหนีถอยหลังตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด แต่ร่างหญิงชายจากอเวจีก็ยังก้าวเข้ามา...ก้าวเข้ามาไม่หยุดยั้ง

สุดจะทนทานได้แล้ว ผมรู้สึกเหมือนสมองกำลังระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ร้องตะโกนแทบคอแตก แต่ได้ยินเสียงแว่วๆ เท่านั้นเอง...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายไปในพริบตา!

สะดุ้งตื่นขึ้นมา ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวสั่นเทา หอบฮั่กๆ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นกระทบโพรงอก เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มหน้าผาก...สองแก้มเปียกโชกด้วยน้ำตาเหมือนกำลังตกอยู่ ในความฝันไม่ผิดเลย

รีบผลุนผลันออกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำรวม แล้วเผ่นออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่...ตั้งแต่นั้นมาผมไม่กล้าไปนอนโรงแรม ที่ไหนคนเดียวอีกเลย...ไม่อยากขนหัวลุกครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น