วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ป่าช้าผีดุ!!

"เสมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่าในสวนมะพร้าว

เพราะอารามอยากจับขโมยมะพร้าวแท้ๆ ที่ทำให้ผมกับเพื่อนๆ คือไอ้ล้วนกับไอ้ลิ้มต้องเจอะเจอเข้ากับเหตุการณ์ สยองขวัญ โดนผีหลอกกระเจิดกระเจิงจนหวิดจะจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กัน

ตั้งแต่คืนนั้นพวกเราก็เลยเลิกทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระปะปังของตัวเอง แต่ยังงั้นยังไม่วายเจอดีเข้าเลย คุณเอ๋ย....คนเราบทมันจะซวยน่ะ ถึงแม้ไม่รนหาเรื่องก็จริงอยู่ แต่จู่ๆ เรื่องขนลุกขนพองมันก็โผล่เข้ามาหาเราดื้อๆ ซะยังงั้นเอง!

สาเหตุมาจากนิสัยสนุกซุกซน ชอบเที่ยวเตร่ ตามประสาชายหนุ่มที่พลัดบ้านพลัดช่องมาเรียนรวมกันที่วิทยาลัยครูบางแสนนั่นแหละครับ

เสาร์อาทิตย์มักจะชอบไปเที่ยวชายหาดบางแสน ไอ้ล้วน บอกอยากไปสูดโอโซนให้ชื่นใจกับหาของอร่อยๆ กิน แต่ไอ้ลิ้มขัดคอว่ามึงอย่ามาอ้างหน่อยเลยวะ ของจริงน่ะอยากไปดูขาอ่อนพวกสาวๆ สวยๆ ในชุดอาบน้ำเดินฉุยฉาย ตามชายหาดมากกว่า

ไอ้ล้วนหัวเราะแหะๆ ไก๋ไปว่า ไม่ไปบางแสนก็ไปหาข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ กินที่ร้านเจ๊เล็กหน้าวิทยาลัยก็ได้วะ

วันดีคืนดีก็ขี่จักรยานไปเที่ยวหนองมนกัน! ไม่ต้องเสียเวลาออกถนนใหญ่ หรือต้องเสี่ยงกับรถราที่แล่นฉิวๆ เพราะด้านหลังวิทยาลัยมีทางลัด ดก สะพรั่งด้วยสวนมะพร้าวนับร้อยๆ ต้น บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว แต่ก็ย่นระยะทางได้ราวครึ่งต่อครึ่ง

มีเรื่องน่ากวนใจเล็กน้อยตรงที่เขาลือกันว่าที่นั่นเป็นป่าช้าเก่าของคนจีน ผีดุอย่าบอกใครเชียว!

แหม! ไม่ใช่ลือล่องลอยหรอกครับ เพราะเราเคยขี่จักรยานไปเจอศาลาตั้งศพเก่าๆ ถึงสองหลัง นอกจากนั้นยังมีฮวงจุ้ยเก่าแก่ กับหลุมศพที่เป็นเนินดินเห็นได้ชัด อยู่ในดงมะพร้าวนั่นเอง แต่เราขี่รถไปตอนกลางวันก็เลยไม่น่าขนลุกขนพองเท่าไหร่

ตั้งแต่โดนผีหลอกที่ศาลาตั้งศพร้างในป่าละเมาะแถวๆ ด้านหลังโรงอาหารของวิทยาลัยน่ะ ไม่มีใครริอ่านไปไหนมาไหนตอนกลางคืนหรอกครับ

อาทิตย์นั้นเราก็ตกลงจะไปเที่ยวหนองมนกัน!

ไอ้ล้วนอยากกินห่อหมก ไอ้ลิ้มอยากกินข้าวหลาม ส่วนผมก็ว่าจะหาซื้อขนมนมเนยมาไว้เป็นเสบียงยามหิวตอนกลางคืน...เป็นอันว่าตอนบ่ายๆ เราก็ขี่รถจักรยานไปด้วยกันในดงมะพร้าวที่ร่มครึ้ม คล้ายอาทิตย์จะลับหายอยู่หลังก้อนเมฆหนาทึบ...

เพื่อนสองคนแซวกันสนุกว่าใจจริงอยากไปดูสาวๆ ชาวกรุงเทพฯ ที่กลับจากตากอากาศพัทยามาแวะซื้อของฝากที่หนองมนมากกว่า ส่วนมากแต่งตัวฉูดฉาด อกอวบพุ่ง ตะโพกผึ่งผายกันทั้งนั้น บางคนเดาะกางเกงขาสั้นเดินบิดบั้นท้ายจนหนุ่มแก่หันมองแทบคอเคล็ดไปตามๆ กัน

ผมขี่รถนำหน้า ตามด้วยไอ้ล้วนกับไอ้ลิ้ม...จู่ๆ ทางมะพร้าวก็ดังซู่ซ่า ตามด้วยเสียงโครมๆ ติดกันสองครั้ง เล่นเอาหันขวับไปมองทางต้นเสียงด้วยอารามตกใจ แต่ไม่เห็นมะพร้าวซักลูกเดียว!

เอ๊ะ! ยังไง? ผมมองเห็นฮวงซุ้ยขาวโพลนสะดุดตาทางขวามือ แม้จะเคยเห็นมาก่อนก็จริง แต่วันนี้ดูมันอยู่ใกล้ทางแคบๆ ที่เราเคยผ่านไปมา แถมหลุมศพอีกหลายหลุมก็ใกล้เข้ามา แถมดูหนาตากว่าเดิมเหมือนกับมีใครเอาศพใหม่ๆ มาฝังเพิ่มยังงั้นแหละ

เป็นไปไม่ได้! ก็มันเป็นป่าช้าร้างนี่นา!

เหมือนมีอะไรดลใจให้หันไปมองทางซ้าย เห็นศาลาตั้งศพเก่าแก่ทั้งสองหลังอยู่ใกล้ๆ กัน เหลือกระดานอยู่ราว 4-5 แผ่น...แต่สิ่งที่ทำให้เย็นวูบที่ต้นคอ แล่นวาบลงมาตามแผ่นหลังก็คือภาพนั้น... ภาพของตาแป๊ะแก่ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงอยู่ที่นั่น ผมขาวโพลนเหมือนปุยฝ้าย...ฉับพลันทันใดตาแป๊ะกลุ่มนั้นก็หันขวับมามองเราเป็นตาเดียว

คุณพระคุณเจ้า? ตาแป๊ะทุกคนล้วนแต่มีใบหน้าเป็นโครงกระดูก นัยน์ตากลวงโบ๋ อ้าปากเห็นฟันกะดำกะด่างปะหงับๆ ส่งเสียงหัวเราะแหบโหย...ผมร้องเฮ้ย! รถเป๋ไปในพงหญ้า ก่อนจะตั้งหลักได้แล้วปั่นหนีภาพอุบาทว์เร็วจี๋...แต่ยังช้ากว่าเพื่อนทั้งสองคนที่มันพุ่งแซงหน้าปานลมพัด

จากหนองมนเราถีบรถกลับทางถนนหลวงครับ เข็ดหลายป่าช้าเก่าจนวันตาย!

คอลัมน์ ขนหัวลุก - ใบหนาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น