วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ใน ม.จุฬา

ศิลปกรรมศาสตร์ ห้องล้างรูป
- ว่ากันว่าห้องล้างรูปรวมของศิล’กรรมน่ากลัวที่สุด
นอกจากเรื่องเห็นขาแกว่งแล้ว ยังมีแสงลูกไฟสีต่างๆ แวบไปแวบมาในห้องล้างรูปอีกด้วย
(ซึ่งห้องล้างรูปจะต้องมืดหรืออาจให้มีแสงสีแดงได้สีเดียว)
บางทีก็มีเสียงเก้าอี้นั่งรอล้างรูปดังอี๊ดอ๊าด ทั้งๆ ที่ไม่มีคนนั่งรอ
หรือนิสิตบางคน ได้ยินเสียงคนตบแท็งค์น้ำในห้องล้างรูปทั้งๆ ที่ไม่มีคนอื่นในห้อง
ว่ากันว่านิสิตขอให้คณะย้ายห้องหลายครั้งแต่คณะไม่มีงบฯ
อันนี้เป็นข้อมูลหลายปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้ย้ายห้องหรือยัง




อักษรศาสตร์ ห้องสมุด
- ห้องสมุดที่ตึกเก่าของอักษร มีนิสิตชายคนหนึ่งไปอ่านหนังสือ
เห็นนิสิตผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าอ่านหนังสือนานมากไม่เงยหน้าซะที
เลยถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผู้หญิงเลยเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่า...ไม่มีหน้า




วิทยาศาสตร์ ตึกชีววิทยาทางทะเล
- ชั้น 4 หรือชั้น 5 ไม่รู้ นิสิตที่อยู่ดึกบอกว่าเห็นเงาคน และแสงไฟวูบวาบบ่อยมากทั้งที่ไม่มีคน
ลิฟต์ก็ชอบเปิดชั้นนี้ทั้งที่ไม่มีคนกดเรียก




ห้องน้ำแถวภาควิชาเคมี
- อยู่ดีๆ บานประตูก็ปิดเอง (และล้อคด้วย) บ่อยมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีลม และแน่นอน
ไม่มีคนเข้า พอนิสิตไปถามยามยามก็บอกว่าชินแล้ว
บอกอย่างทำใจได้ว่าถ้าเจอก็มาตามก็แล้วกัน จะไปช่วยไขกุญแจให้



ประตูอังรีฯ
- เพื่อนเราอยู่คณะวิทยาศาสตร์ (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ แนน) ขับรถมาทางประตูรัฐศาสตร์ อังรีฯ
จะวกรถออกไปแยกสุรวงศ์ เลยต้องไปรอเลี้ยวรถกลางถนน พอไฟส่องไปที่ใต้สะพานลอยฝั่งโรงพยาบาลจุฬา
ก็เห็นคนนั่งยองๆ อยู่ใต้สะพาน ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป

นอกจากหน้าเหมือนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งแล้วโดนสาดน้ำน่ะ คือขาวๆ ย้อยๆ
ไฟหน้ารถเธอจับอยู่นานพอดูเพราะต้องรอกลับรถ เมื่อเธอหันไปดูเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่นั่งมาด้วยกัน
ก็ไม่มีทีท่าว่าเห็นอะไร เหมือนเธอเลย เธอก็เลยทำเฉยๆ กลัวว่าเพื่อนจะกลัว




เศรษฐศาสตร์
- ประตูชั้นล่างที่จะออกไปโรงอาหารด้านหลัง ถูกกั้นไม่ให้เข้าออกเพราะเป็นทางผีผ่าน
มีคนเห็นอะไรแปลกประหลาดมามากมาย


ชั้นที่มีห้องพักนิสิต ป.โท (ไม่รู้ชั้นไหน)
- เพื่อนเราเพิ่งจบโทมาปีสองปี (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ โอชิน) เล่าว่า
วันหนึ่งค่ำแล้วฝนตกหนักทุกคนกำลังจะกลับบ้าน แต่เลอะเทอะกันมากเลยกลับมาห้องพักนิสิตปริญญาโท
เพื่อหลบฝนและล้างโคลน เพื่อนเราไปล้างโคลนคนเดียวในห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องพัก

พอดีไฟดับ เพื่อนเราเลยโผล่ออกมาดูคนอื่นๆ ว่าเป็นไงบ้าง เห็นเงาดำๆ
อยู่ห่างออกไปตรงทางเดิน ทำท่าเหมือนกำลังเดินเข้ามาหา
เธอดูรูปร่างแล้วเลยเรียกชื่อเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่หุ่นแบบนี้
แต่เงาดำไม่ตอบ และเดินเท่าไหร่ก็ไม่ใกล้เข้ามาสักที

แป๊บนึงอยู่ดีๆ เงาดำก็หายไป เพื่อนเราคนนี้ก็เหมือนคนที่แล้ว คือ
ไม่ยอมบอกเพื่อนกลัวเพื่อนจะกลัว เดินกลับเข้าห้องไปรวมกลุ่มเฉยๆ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น




หอหญิง (ตึกดำ)
- เพื่อนเราเคยอยู่หอหญิงบอกว่าชั้น 10 เนี่ยดุสุดๆ คืนหนึ่ง
ก่อนนอนกลัวว่าจะร้อน เลยเปิดประตูมุ้งลวดให้ลมเข้า คนที่นอนริมในสุดบังเอิญเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกพอดี
เล่าว่ากลางดึกอยู่ดีๆ เธอก็ตื่นมา เมื่อมองไปนอกมุ้งลวด เห็นคนคลุมหัวเดินอยู่
ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นเพื่อนที่เป็นมุสลิมในชั้นเดียวกันนั้น แต่ร่างที่ว่าเดินเท่าไรก็ไม่พ้นหน้าห้องซักที
เธอเลยรู้ว่าเจอดีเข้าแล้วก็เลยคลุมโปงนอนต่อ



วิศวกรรมศาสตร์ ห้องสมุด
- เราไม่เคยเข้านะเลยไม่รู้ว่าห้องนี้ยังใช้อยู่หรือเปล่า
แต่ที่ได้ยินมาคือ เป็นห้องที่ดัดแปลงจากอาคารที่เดิมเป็นตึกเรียนเก่า
กลางวันแสกๆ วันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งเข้าไปค้นหนังสือในส่วนที่ห้ามนิสิตเข้า
คือ ยืมได้แต่ห้ามเดินเข้าไปเองน่ะ ทีนี้อาจารย์ท่านนั้นกำลังก้มหน้าส่องหาหนังสืออยู่ตามชั้นต่างๆ
พอขยับหน้าผ่านไปตรงช่องว่างระหว่างหนังสือ ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีหน้าจ้องผ่านร่องหนังสือเข้ามา
เห็นว่าใส่ชุดนิสิตอยู่ด้วย อาจารย์ตกใจและโกรธด้วยเลยเดินไปถามว่านิสิตเข้ามาได้ยังไง

แต่พอเดินไปถึงช่องนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลย ที่สำคัญพออาจารย์เดินหาจนทั่วพบว่า
แม้แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดเองก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำไม่มีทางที่ใครจะมาโผล่หน้าให้เห็นได้
แต่เมื่ออาจารย์เดินกลับไปหาหนังสือที่ชั้นเดิมก็ได้กลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นไหม้ที่แรงมาก




ห้อง Sound Lab
- ห้องไหนไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าตึกที่ถูกทุบไปหรือตึกที่ยังอยู่ปัจจุบัน เพราะอักษรมี Sound Lab เยอะมาก
อาจารย์หญิงท่านหนึ่งรับฝากชั้นเรียนไว้ได้รับคำฝากฝังให้เปิดเทปให้นิสิตฟังและคอยเช็คชื่อก็พอ
ขณะกำลังเปิดเทป มีนิสิตหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หลังห้องไม่ยอมใส่หูฟัง
อาจารย์เดินไปถามก็ตอบว่าเจ็บคอ พอตอนออกจากห้อง
อาจารย์คอยเช็คชื่อ เห็นคนครบแต่ไม่มีชื่อเด็กคนที่ไปคุยด้วย และเด็กก็ไม่ยอมออกมาสักที

เลยเดินกลับไปหา ไปดูที่โต๊ะก็ไม่เจอ แต่พอหันออกมาจะกลับเห็น เด็กยืนอยู่กลางห้องสายหูฟังพันคออยู่
และโยงไปที่เพดาน อาจารย์หมดสติไปเลย มาทราบทีหลังว่ามีเด็กเพิ่งฆ่าตัวตายในห้องนั้น




ห้องมืด (ห้องล้างฟิลม์) ของคณะนิเทศศาสตร์
- เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อก่อนมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้
แล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย....มีคนเข้าไปหาตั้งหลายครั้งแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครพบ...ได้มีนิสิตรุ่นน้องต่อๆ มาเล่าให้ฟังว่า ...ยังมี เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีก

เช่น มีนิสิตได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้ ขณะที่เข้าไปนั้นก็คิดว่าตนนั้นเข้าไปกับเพื่อน
ก็มีการพูดคุยกัน แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อน...บอกให้หยิบของส่งให้
ก็มีคนหยิบส่งให้.....แต่พอออกมาเห็นเพื่อนของตนอยู่นอกห้อง
จึงได้รู้ว่า ตนเข้าคนเดียว......แล้วใครล่ะที่เป็นคนหยิบของส่งให้.......ยังคงเป็นปริศนาอยู่




ทางเดินระหว่างตึกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
- ทางเดินที่ว่านี้ มีประวัติอยู่ว่า
สมัยก่อนมีสามีภรรยานักการของคณะสถาปัตย์ได้ทะเลาะกัน .....ฝ่ายภรรยาได้เอาปืนยิงสามี
จนเสียชีวิต ...เลือดสาดไปทั่วหน้าห้องทางเดินนี้........
ต่อมาเมื่อทาง คณะได้มีการปรับปรุงพื้นชั้นหนึ่งได้มีการเทปูนไว้
แต่.......มีเฉพาะหน้าห้องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมแห้ง ทิ้งไว้นานสักเท่าไรก็ไม่ยอมแห้ง
....ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่าที่เห็นกันทุกวันนี้....




ห้อง 415 หอพักนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- เล่ากันว่าถ้าหากวันไหนตื่นขึ้นมาตอนดึกๆ คนที่ตื่นขึ้นมาจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนอยู่ที่ปลายเตียง



ดาดฟ้าตึกพยาธิวิทยา
- ตอนดึกๆ หรือตอนเย็นๆ ใกล้ค่ำ
ถ้าหากมีใครขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นคนยืนนุ่งชุดสไบสีขาว



ล๊อกเกอร์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์
- ที่นั่นเคยมีคนเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่บนล๊อกเกอร์ทีแรกเห็นแต่ขาแต่
ว่าเมื่อมองขึ้นไปกลับไม่มีตัวตนอยู่เลย

วิญญาณ นักศึกษา

เรื่องที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานะครับ

ผมจะต้องขึ้นไปเชียงใหม่ คืองานที่ผมทำจะเป็นเกี่ยวกับร้านมินิมาร์ท ต้องดูตั้งแต่งานก่อสร้างจนถึงร้านเสร็จน่ะครับ ลักษณะของการทำงานคือ เราต้องไปหาทำเลดีๆเพื่อเช่าตึก เป็นตึกที่มาลัษณะเป็น2คูหา ตึกที่ผมไปเช่าตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าประวัติความเป็นมาอย่างไร...หรือมีเรื่องเล่าลึกลับอะไรหรือเปล่า แต่พอรู้คร่าวๆ ว่าตึกที่อยู่ทางด้านขวามือมันจะมีประวัตินะครับ ตอนนั้นเราไปเช่าทั้งหมด2ตึก ทำสัญญากันเรียบร้อย ด้วยความอยากรู้ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของตึกที่ไปเช่า ผมจึงถามเจ้าของตึกที่อยู่ตึกนี้ว่า มีอะไร แปลกๆ มั้ย เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?

เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เพราะว่าซีกซ้ายกับซีกขวาถัดไป 2ห้อง จะไม่มีคนอยู่ นอกนั้นจะมีคนอยู่เต็มไปหมด

ทางทีมงานของเราจึงเริ่มทำการก่อสร้าง ตกแต่งเพื่อเปิดเป็นมินิมาร์ท พวกนักศึกษาและคนที่อยู่แถวนั้น พอผ่านไปผ่านมาก็มักจะถามว่ากำลังสร้างอะไร?
เราก็บอกว่ากำลังทำมินิมาร์ท แต่คำพูดต่อจากนี้สิครับ ที่ทำให้ผมสงสัยขี้นมาตงิดๆ เพราะหลายคนก็มักจะพูดว่า "คิดดีแล้วเหรอ?" นั้นทำให้ผมคิดว่ามีอะไรหรือเปล่า? แต่แทนที่ผมจะได้รับความกระจ่าง แต่กลับมีคำตอบที่ว่า"ไม่มีอะไรหรอก....สร้างไปเถอะ" หลังจากนั้นเราก็สร้างไปจวนจะเสร็จแล้ว แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ไปดูชั้น 2 ชั้น 3 ของตึกนั้นนะครับ เราก็ขึ้นไปดูตึกขวามือ ตึกที่เกิดเรื่องมีสายสิญจน์ตั้งแต่ข้างล่างจนไปถึงข้างบน ที่ทำให้บรรยากาศดูวังเวงมากขึ้นไปอีกก็คงจะเป็นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหยากไย่...ให้ความรู้สึกรกร้างอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ

แต่ในระหว่างที่เรากำลังสำรวจพื้นที่ยริเวณชั้น 2พลันก็ดันเหลือบไปเห็นนักศึกษาหญิงเดินนำหน้าเราขึ้นไปยังชั้น 3 ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่เกิดเหตุครับ(เกิดอะไรเดี๋วทราบกันครับ) ตอนนั้นผมก็เอะใจขึ้นถามน้องที่ไปด้วยกันว่า "น้องๆใครขึ้นไปค้างบนอะ?" น้องที่ไปด้วยก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็หันหน้ามาตอบว่า"ไม่มีใครนี่ครับพี่" แต่ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ทำให้ผมที่สาวเท้าตามขึ้นไปชั้น 3 แต่ผมปรากฎว่า เป็นสถานที่ที่เกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เพราะมีสายมีแถบของตำรวจขึงอยู่ ห้ามเข้าไปในบริเวณนั้น ตอนนั้นทำให้ผมถึงกับ ชะงักงันไปเลยครับ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจไปถามเจ้าของตึกว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี้ ทำไมมันมีพื้นที่ที่เข้าไม่ได้
แต่เจ้าของตึกกลับบอกว่าไม่มีอะไร สงสัยพวกตำรวจคงมาขึงเล่น...
มันยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่เลยครับ ตำรวจที่ไหนจะมาขึงเล่น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ตึกแห่งนี้ต้องเคยเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เหตุการณ์ระหว่างนั้นคือ ระหว่างที่เราทำงานอยู่ที่นี่ เราต้องอยู่ตึกซ้ายมือ ต้องนอนเฝ้างานก่อสร้าง แล้วทุกตี 3 ของทุกคืน ผมจะต้องสะดุ้งตื่นเพราะข้างบนได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ผมชวนพรรคพวกขึ้นไปดูสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไร มันไม่มีอะไรจริงๆ ครับเวลาผ่านไปประมาณ1สัปดาห์ พวกเราที่ทำงานอยู่ ด้วยกันที่นั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของความทรมานตลอด
จนมีอยู่มันหนึ่ง วันนั้นรู้สึกว่าจะเป็นวันพระ ตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำเวลาประมาณตี 2 เห็นจะได้ครับ อาบน้ำเสร็จก็มาแต่งตัว แล้วกระจกแต่งตัวของผมก็จะวางอยู่ในลักษณะที่มองเข้าไปก็จะเห็นเงาสะท้อนของระเบียงด้านหลัง แล้วสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรรู้มั้ยครับ ขอบอกว่าน่าสยดสยองมาก ผมเห็นผู้หญิงเปลือยท่อนบน โดนเหล็กทิ่มอยู่เลือดไหลโชกไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังพูดเสียงเบาๆเย็นๆว่า "หนูหิว!" ตอนนั้นผมตกใจมากเลยครับ ขนลุกไปทั้งร่างเลยทีเดียว ผมรวบรวมความกล้าหันไปมองตรงๆ ก็ยังเห็นเธออยู่ที่เดิม แล้วเธอก็ครำครวญ อีกว่า "หนูหิว!" จากนั้นเธอก็หายวับไปกลับตาเลยครับ นาทีต่อมาจากนั้นผมก็ลงมาข้างล่าง ถามน้องๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตรงระเบียงหรือเปล่า มีเหตุการณ์การอะไรเกิดขึ้นมั้ย?
ตอนนั้นผมเรื่มโวยวายลั่นแล้วครับคงเป็นเพราะด้วยความตกใจระคนความกลัวก็เป็นได้ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้แล้วความสงสัยหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมตัดสินใจไปหาเจ้าของบ้านตอนนั้นเลยครับ ตอนแรกเขาก็ อำๆ อืมๆ ไม่ยอมบอก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเฉลยความจริงให้ผมฟังครับ "ที่ตึกชั้น 3 ข้างขวา เคยมีนักศึกษาโดนฆ่าข่มขืน ตอนที่เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณตี 3 ครับ เธอถูกฆ่าเปลือย แล้วหลังจากฆาตรกรใจโหดข่มขืนเสร็จ ก็ใช้เหล็กแหลมทิ่มที่หน้าอก" ผมก็เลยให้เจ้าของพาไปเปิดห้องที่เกิดเหตุให้ผมดูครับ เชื่อมั้ยครับว่าเฟอร์นิเจอร์ ของทุกอย่างยังอยู่ครบ คราบเลือด เส้นผม สิ่งต่างๆยังอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ยังเครียร์คดีไม่จบ ซึ่งเจ้าของก็บอกว่าหลังจากเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น เธอก็มาขอส่วนบุญเป็นประจำ... เชื่อมั้ยครับว่าเรื่องนี้ ผม ได้สัมผัสมากับตัวเอง จริงๆครับ..

เจ้ากรรมนายเวร

ขอย้อนกล่าวถึงอดีตที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องได้รับผลแห่ง กรรมนั้นอยู่ในทุกวันนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2524 ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย ปี 2 อายุก็อยู่ราวๆ 19-20 ปี เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้าไปเดินเล่นกับเพื่อน พอขากลับก็ได้พบกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง สีขาว ขนปุย อยู่ที่ข้างถนน ข้าพเจ้าเห็นมันน่ารักดีจึงร้องเรียกมันว่า เจ้านุ้ย ๆ และดูเหมือนว่ามันจะชอบชื่อนี้ พอเรียก “นุ้ย ๆ” มันก็วิ่งมาหาเลย และยอมให้อุ้มแต่โดยดี ข้าพเจ้าจึงนำเอาเจ้านุ้ยไปฝากให้แม่เลี้ยงที่ อ.ศรีเชียงใหม่ และจะกลับไปเยี่ยมเจ้านุ้ยที่ อ.ศรีเชียงใหม่ ทุกอาทิตย์


และแล้ววันหนึ่งแม่ก็โทรมาบอกข้าพเจ้าว่า “ไอ้นุ้ยโดนรถชน” โดยรถมอเตอร์ไซค์เหยียบบริเวณท่อนหลังของเจ้านุ้ย แต่ไม่ตาย มันเดินด้วยสองขาหน้า แล้วลากส่วนท้ายที่โดนรถเหยียบ และร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวดทรมานทั้งวันทั้งคืน


ตอนแรกที่รู้ข่าวว่าไอ้นุ้ยโดนรถเหยียบ ข้าพเจ้าไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่อยากเห็นสภาพของเจ้านุ้ย แต่ก็อดคิดถึงมันไม่ได้ จึงตัดสินใจไปหาเจ้านุ้ย และจะพยายามทำใจไม่ให้สงสารมัน พอข้าพเจ้าก้าวเท้าเข้าไปถึงหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงของเจ้านุ้ยร้องครวญครางเดินสองขาหน้าลากส่วนหลังที่กำลังจะ เน่า เดินเวียนวนไปมา เนื้อตัวมอมแมม ลำตัวผอมกะหร่องด้วยความเจ็บปวดทำให้มันอยู่เฉยไม่ได้ ตลอดคืนยันเช้าเจ้านุ้ยมันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ร้องครวญคราง


รุ่งเช้าข้าพเจ้าตัดสินใจมายืนดูเจ้านุ้ย “ใครหนอช่างใจร้ายขับรถเหยียบมันแล้วหนี” เจ้านุ้ยมันคงเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ จะช่วยมันอย่างไรดี เพื่อให้มันพ้นทุกขเวทนา ร่างกายลำตัวของมันส่วนล่างที่กำลังจะเน่ามีแมลงวันบินตอมเป็นกลุ่มๆ มันคงจะปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว มันจะทรมานอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ถ้าหากมันตายไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทรมานอีกต่อไป คงจะเจ็บอีกแค่ครั้งเดียว ข้าพเจ้ายืนคิดอยู่นาน คิดไปคิดมา คิดจนสับสน




"เลือดไหลออกตามรูหู รูจมูก"

ขณะนั้นเองความคิดอุบาทว์ก็เกิดขึ้นมาในสมอง ข้าพเจ้าเดินไปจับได้ท่อนตอไม้ไผ่อันหนึ่งความยาวประมาณเกือบศอกแล้วเดินตรง ไปยังเจ้านุ้ยทันที ทันใดนั้นก็เงื้อตอไม้ไผ่ขึ้นสุดแขน น้าข้าพเจ้าร้องทักขึ้น “เฮ้ย นั่นจะทำอะไร” แต่ขณะนั้นเองตอไม้ไผ่ในมือของข้าพเจ้าก็ฟาดลงตรงขมับด้านซ้ายของเจ้านุ้ย อย่างแรงแล้วรีบหันหน้าหนี เสียงของเจ้านุ้ยร้องดังขึ้นอย่างแรง แต่มันไม่ตาย คราวนี้ข้าพเจ้าเหมือนถูกผีร้ายเข้าสิง หันหน้ามาหาเจ้านุ้ยแล้วกระหน่ำตอไม้ไผ่ลงไปที่ศีรษะของมันบริเวณเดิมแบบไม่ ยั้ง เสียงของมันค่อย ๆ เบาลง ๆ อย่างช้าๆ มีเลือดไหลออกตามรูหู รูจมูก และปาก ลำตัวของมันกระตุก สั่น ปากเผยอเล็กน้อยจนสิ้นใจและแน่นิ่งไปในที่สุด


อนิจจา! ชีวิตของเจ้านุ้ยผู้น่าสงสาร ข้าพเจ้ามอบความตายให้มันเพื่อหวังจะช่วยมันหรือเป็นการก่อกรรม ก่อเวรกับเจ้านุ้ยกันแน่ ตอนนั้นทำเพราะคิดจะช่วยให้มันหายจากทุกข์ แต่ใจจริงรัก เมตตา และเสียดายเป็นที่สุด


นับจากวันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของข้าพเจ้าก็ดำเนินแบบปกติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปเที่ยว น้ำตกธารทอง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขณะที่นั่งดูเพื่อนเล่นน้ำอยู่นั้น ไม่ทราบว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ข้าพเจ้าก็เกิดพลัดตกลงน้ำแล้วน้ำก็ไหลเข้าหูซ้ายทำให้มีอาการหูอื้อตลอดแต่ ไม่มีหนอง นาน ๆ เข้าก็เริ่มปวดและปวดรุนแรงขึ้น จึงได้ไปพบแพทย์ แพทย์ก็ให้ยาหยอดหูและยามาทาน แต่ก็ไม่หายขาด มีอาการปวดร้าวไปหมดทั้งบริเวณแถบศีรษะด้านซ้าย ไม่ปวดมากแต่จะปวดตลอดทุกเวลา ทุกวินาที ปวดพอให้รำคาญ ปวดแบบนี้มาเป็นปีๆแล้ว




"เป็นเลือดสดๆ ไหลออกมาจากปาก"

จนปี พ.ศ. 2528 อาการปวดเริ่มหนักขึ้น ทั้งเวียนศีรษะและหน้ามืดบ่อยครั้ง ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจไปหาหมออีกครั้งที่โรงพยาบาลศิริราช นครราชสีมา หมอใช้เครื่องส่องดูหูที่หูข้างซ้าย แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “โอ รูโบ๋เลย เยื่อแก้วหูทะลุต้องผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อแก้วหูใหม่นะ”


ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกเสียวและกลัวมาก ผ่าที่ไหนไม่ผ่า มาผ่าที่หัวเรา ถ้าตายจะทำยังไง แล้วหมอก็นัดวันผ่า ตอนผ่ากลัวก็กลัว แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บมากนัก เพราะฤทธิ์ของยาชา แต่ก็ยังมีอาการเสียวๆ เย็นๆ ตรงที่ตอนคมมีดกรีด รู้สึกเย็นลงมาที่ลำคอในหลอดอาหาร แล้วข้าพเจ้าก็หมดสติไป จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก เพราะข้าพเจ้าวิ่งสุดกำลัง วิ่งหนีสิ่งที่น่ากลัวมาก ซึ่งไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ด้านหลังของข้าพเจ้าคือสุนัขร่างผอมตัวหนึ่ง สีขาว รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก สูงประมาณเกือบศอก มันแยกเขี้ยวยาวคมกริบ ดวงตาทั้งคู่ของมันโตมากแดงเหมือนสีเลือด มันวิ่งเร็วมาก ข้าพเจ้าก็หนีสุดแรง ไม่ยอมหยุด เหมือนเกลียด โกรธ ชิงชังกันมาเป็นปีเป็นชาติ และในช่วงวินาทีนั้นข้าพเจ้าก็ขาอ่อน และทรุดลง สุนัขตัวนั้นก็ได้กระโดดขึ้นงับบริเวณศีรษะซีกซ้ายทั้งแถบ ข้าพเจ้าร้องและดิ้นจนสะดุ้งตื่น ทำให้เตียงข้างๆ หันมามอง และพูดกับข้าพเจ้าว่า


“อ้าวเป็นอะไร รู้สึกตัวแล้วเหรอ รู้ไหมคุณหลับอยู่นี่สองคืนแล้วนะ พยาบาลเขาเดินมาดูหลายรอบแล้ว คุณก็ไม่ตื่นสักที” ข้าพเจ้ายิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เขาคิดย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่ามัน คืออะไร สักพักหนึ่งเหมือนอยากจะอ้วก รีบพยุงตัวเองไปที่กระโถน รู้สึกเหมือนมีอะไรไหลอยู่ในลำคอ ข้าพเจ้าอ้าปากปล่อยให้มันไหลออกมา ปรากฏว่าเป็นน้ำเลือดสีแดงสดๆ ไหลออกจากปากลงสู่กระโถน ข้าพเจ้านอนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน แล้วหมอก็ให้กลับบ้านได้


หลังจากผ่าตัดหูแล้วก็ยังมีอาการปวดศีรษะด้านซ้ายอยู่ โดยเฉพาะตรงหูและขมับซ้ายปวดตลอดเวลา จึงไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลอีก หมอบอกว่าเยื่อแก้วหูทะลุอีก แต่ไม่มากนัก ขนาดเท่าปลายปากกา ข้าพเจ้าถามว่า “จะได้ผ่าตัดอีกไหม”




"เฮ้ย คุณฆ่ามันทำไม"

หมอบอกว่า “ยังไม่ต้องหรอกเพราะยังไม่มาก” หมอให้ยามาหยอด และยาทาน อาการก็แค่พอทุเลาแต่ไม่หาย ระยะหลังๆ มานี้จะมีอาการปวดลูกตาซ้ายร่วมด้วย ปวดข้างเดียว ตาข้างขวาไม่เป็นอะไร และเวลานอนกลางคืนข้าพเจ้ามักจะฝันเห็นสุนัขตัวผอมรูปร่างน่าเกลียดตัวนั้น ไล่กัดแทบทุกคืน ก็สงสัยนะว่ามันเป็นเพราะเหตุใด


จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องพาแม่ไปนอนวัดเพื่อจำศีลอุโบสถที่ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นวัดกรรมฐาน ตอนนั้นเป็นเวลาทำวัตรเย็น แม่ให้อยู่ทำวัตรเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับ พระเริ่มสวดมนต์ได้สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็เริ่มมีอาการง่วงนอน ง่วงมากจนทนไม่ไหว จะหลับท่าเดียว จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยินเสียงพระสวดมนต์เลย จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าตัวเองนั่งพนมมืออยู่ ไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ข้าพเจ้าก็มองเห็นและได้ยินเสียงร้อยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของสุนัขตัว หนึ่ง มีขนสีขาว ตัวผอม ตอนนั้นข้าพเจ้าเหมือนลอยอยู่ มองดูข้างๆของสุนัขตัวนั้น มีชายคนหนึ่งกำลังถือตอไม้ไผ่อยู่ในมือยาวประมาณครึ่งศอก ข้าพเจ้าใจหายวาบ ขนลุก และกลัวจนตัวสั่น เพราะชายคนนั้นกำลังใช้ตอไม้ไผ่ตีลงไปที่หัวของสุนัขแบบไม่ยั้งมือ ข้าพเจ้ารีบร้องตะโกนใส่ชายคนนั้น “เฮ้ย! คุณฆ่ามันทำไม มันไปทำอะไรให้คุณ” ชายคนนั้นไม่ตอบ และเหมือนจะไม่ได้ยิน จนสุนัขตัวนั้นขาดใจตายและแน่นิ่งไป แล้วชายคนนั้นก็หันหน้ามา พอข้าพเจ้าเห็นหน้าเขาก็ตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น


อนิจจา ชายคนที่หันหน้ามาเขาคือตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าตกใจกลัวและรู้สึกตัวขึ้นมา ปรากฏว่าทำวัตรเย็นจบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังนั่งหลับตาภาวนาสมาธิกันอยู่ แต่หลายคนก็กลับไปแล้ว ข้าพเจ้าหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง “โธ่ นี่เรานั่งอยู่ตรงนี้เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วหรือ” แต่ไม่อยากรบกวนคนที่นั่งสมาธิอยู่ข้างๆ จึงนั่งต่อ ช่วงนั้นร่างกายรู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกว่าอาการปวดศีรษะจะไม่มีเลย จึงขยับตัวเปลี่ยนท่ามานั่งขัดสมาธิเหมือนที่คนข้างๆ เขาทำ แต่ไม่รู้หรอกว่านั่งแล้วต้องท่องคาถาอะไรหรือเปล่าเพราะไม่เคยนั่ง เห็นตัวเองกำลังรู้สึกสบายก็เลยอยากจะนั่ง




"ตั้งแต่นั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ไปรักษาหูอีกเลย"

แต่เอ๊ะ! ที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านไปเมื่อสักครู่มันคืออะไร และแล้วข้าพเจ้าก็รู้ และจำได้ทั้งหมดทุกขั้นตอนที่ทำกับเจ้านุ้ย มิน่าล่ะ ภาพนี้เหตุการณ์นี้มันจึงได้ตามหลอกหลอนข้าพเจ้าเรื่อยมา ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้กับใคร จนได้มาเจอ นิตยสารโลกทิพย์ และได้มาอ่านเจอคอลัมน์ “กรรมใดใครก่อ” จึงคิดที่จะเปิดเผยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ที่สนใจ ได้อ่านและพิจารณาปฏิบัติตัวตามแนวทางที่เป็นจริง หลีกเลี่ยงจากการก่อกรรมทำเข็ญต่าง ๆ


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าไม่คิดที่จะไปรักษาหูให้หายขาดจากความเจ็บปวด อีกเลย ข้าพเจ้ายอมรับความเจ็บนี้ แม้จะเจ็บปวดไปจนถึงวันตายก็ยอม บุญใด กุศลใดที่ข้าพเจ้าทำ ที่ข้าพเจ้าสร้าง ขอให้เจ้านุ้ยได้รับผลบุญกุศลที่ได้อุทิศไปให้ ไม่ว่าเจ้านุ้ยจะตกอยู่ ณ สถานที่แห่งใดก็ตาม ถ้าเจ้านุ้ยได้รับความทุกข์ทรมานก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้ามีสุขก็ขอให้มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย ขอให้หมดเวรหมดกรรมต่อกันแต่เพียงชาตินี้

วันปล่อยผี

"สมศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยนามบัญญัติ

ถึงแม้ว่าภาพสยองขวัญวันนั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็ติดตาติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ!

สมัยก่อน ตรอกนามบัญญัติที่ถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับวัดมกุฏฯ ยังเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าเข้าไปราว 100 เมตรจะเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเล็กเรือน น้อยอยู่ติดๆ กันก็จริง แต่เมื่อเลี้ยวขวาจะไปออกทางด้านหลังวัดอินทร์ จะมีที่รกร้างรอบๆ บึงที่มีต้นอ้อกอพงรกทึบ

ตอนเย็นๆมักจะมีเด็กท่อมๆไปหาปลากัดบ้าง ช้อนลูกน้ำบ้าง...พอตกค่ำก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ

ผู้คนในซอยนั้นมักเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็ทำงานบริษัทห้างร้าน คนที่อยู่บ้านก็มักหาลำไพ่ด้วยการรับจ้างกะเทาะเม็ดบัวบ้าง ฟั่นธูปบ้าง...ตอนนั้นมีบ้านที่ยึดอาชีพฟั่นธูปขายหลายบ้าน ส่วนมากจะส่งเจ้าประจำที่ปากคลองตลาดเกือบทั้งหมด

ดิฉันเป็นหลานป้ากิมไล้ที่เป็นม่ายสามีตายมาหลายปีแล้ว อยู่เกือบกลางซอยเป็นบ้านไม้สองชั้น ตอนเช้าๆ จะ มีลูกจ้างฟั่นธูปมาจากบ้านในซอยเดียวกันบ้าง มาจากเทเวศร์ บ้าง ชื่อน้าสมรกับน้าบังอรและน้าเดือน...ดิฉันเองชื่อสมศรีค่ะ

นึกถึงชื่อสมัยนั้นถือว่าเก๋มากนะคะ แต่มาสมัยนี้แทบจะหาคนชื่อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถือว่าตามยุคตามสมัยก็แล้วกัน!

บ้านป้ากิมไล้น่ะอะไรๆ ก็ดีหมด ชั้นล่างหน้าห้องดิฉันเป็นที่นั่งฟั่นธูปแล้วปักม้าไม้ที่เจาะรูเอาไว้หลาย สิบ พอธูปเต็มม้าดิฉันก็มีหน้าที่ยกไปตากแดด อาหารการกินมีพร้อม ก๋วยเตี๋ยวหมูที่เจ๊กเตี้ยหาบมาขายตอนบ่ายๆก็อร่อยมาก ...ชามละบาทเดียวเอง

...เสียอย่างเดียวที่ชั้นบนอันเป็นห้องนอนของป้ากิมไล้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ ถูก แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างและประตูไปสู่ระเบียงแคบๆ หน้าบ้าน...สาเหตุมาจากรูปถ่ายของอาก๋งที่อยู่บนหิ้งข้างฝานั่นเองค่ะ!

รูปถ่ายบานใหญ่ของเตี่ยป้ากิมไล้คล้ายจะจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายาวเรียว หนวดเฟิ้มแทบจะปิดริมฝีปาก นัยน์ตาดุมาก มองเห็นทีไรเล่นเอาดิฉันเสียวสันหลังทุกครั้ง...ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมขึ้นไป ชั้นบนเด็ดขาด

วันเกิดเหตุ ตอนบ่ายแก่ๆ มีฝนพรำแต่ก็เป็นอุปสรรคอย่างแรงสำหรับคนทำอาชีพฟั่นธูป เพราะไม่มีแสงแดดก็ต้องหยุดงาน...หลังจากตั้งโต๊ะผึ่งลมไว้ในบ้าน

แม้ฝนหยุดแต่แดดไม่ออกก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ได้แต่นั่งคุยกันแก้รำคาญไปเท่านั้น...

พอดีเจ๊กเตี้ยมาตั้งหาบที่หน้าบ้านตรงข้ามพอดี!

ลูกค้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยืนเกาะหาบกินก็มี เอาชามมาใส่ไปกินที่บ้านก็มี...ป้ากิมไล้บอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง...สั่งมากินกันเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาล้างชาม!

เสร็พสรรพป้ากิมไล้ก็เรียกเจ๊กเตี้ยมาเก็บเงิน สั่งให้ดิฉันขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ชั้นบน...ดิฉันกลัวเจ๊กเตี้ยจะรอก็วิ่ง ขึ้นบันไดไปทันที ก่อนจะหยุดชะงักที่กลางห้อง

กลิ่นควันธูปลอยกรุ่นมากระทบจมูก อากาศเย็นเฉียบจนดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ที่ท้ายทอย หันขวับไปเงยหน้ามองรูปเตี่ยป้ากิมไล้บนหิ้งข้างฝาเหมือนมีอะไรดลใจ...ผงะ หน้าด้วยความตกตะลึงในพริบตานั่นเอง

คุณพระช่วย!ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที!

ใบหน้าผอมซูบคล้ายมีแต่กระดูกในรูปนั้นเคยเห็นแต่หน้าตรง บัดนี้กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนคนที่มีชีวิตจิตใจ ...หันมามองดิฉันช้าๆ นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งจนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าด้านข้าง ปากที่คลุมด้วยหนวดดกหนาอ้าเผยอส่งเสียงออกมาว่า...เข้ามาในห้องข้าทำไม?

ดิฉันกรีดร้องเหมือนคนบ้า รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนออกจากห้องลงบันได แทบจะชนกับป้ากิมไล้ที่วิ่งมาดู...ดิฉันโผเข้ากอดป้าแล้วร้องไห้โฮ... เพิ่งรู้ว่าวันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นวันปล่อยผีค่ะ!

วิญญาณร้องไห้

ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ชื่อโก้ อายุเกือบสี่สิบปีแล้วละครับ พี่โก้เป็นช่างอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์ย่านรองเมือง มีครอบครัวน่ารักคือ พี่ดาว และลูกชายวัยสิบกว่าขวบอีกสองคน ดูๆ แล้วไม่ว่าใครก็บอกว่าพี่โก้มีชีวิตที่ "ลงตัว" ทั้งนั้น

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนเสเพลเรื่องอื่นๆ แต่พี่โก้ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่เป็นคนดื่มเหล้าจัด ชอบเฮฮากับเพื่อนฝูงเป็นประจำ บางทีก็ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะขับรถมาถึงบ้านที่สามแยกเตาปูน

บางทีวันเสาร์-อาทิตย์ ที่พี่โก้เคยบอกใครๆ ว่าจะยกให้เป็นวันของครอบครัวไม่ยอมออกไปดื่มเหล้าที่ไหนเด็ดขาด ถึงพี่โก้จะรักษาคำพูดแค่ไหนก็เถอะเอ้า แต่ส่วนมากมักจะมีมารผจญ...เอ๊ย! มีเพื่อนฝูงมาหา หอบเหล้าหอบกับแกล้มมาตั้งวงที่บ้านแกจนได้

เรื่องนี้ผมเห็นใจพี่โก้ครับ โธ่! เพื่อนฝูงอุตส่าห์มาหาถึงบ้านทั้งที ไม่รักใคร่กันจริงไม่นัดหมายกันมาหาหรอก พี่ดาวเคยบอกกับพ่อแม่ผมว่า ถือคติโบราณ...ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ! กับยอมรับว่าเพื่อนๆ พี่โก้นิสัยดีกันทุกคน ไม่หยาบคายหรือทะลึ่งตึงตัง เมามายแค่ไหนก็ไม่เอะอะโวยวาย มีแต่จะพูดคุยกันสนุกสนาน ประเภทกินสลึงเมาบาทไม่มี

พี่โก้เองดูๆ ก็เป็นคนน่าแปลกสำหรับพวกเพื่อนบ้านเช่นกัน!

นั่นคือ เป็นคนหน้าตาปี หุ่นสูงโปร่ง ไม่มีลักษณะว่าหน้าฉุ พุงป่อง แถมมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ไม่ว่าใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น...หลายๆ คนยังเคยออกปากว่า กินเหล้าเหมือนกินน้ำ ทำไมรักษาร่างกายได้ดียิ่งกว่าคนวัยเดียวที่ไม่ได้แตะต้องเครื่องดองของเมาซะด้วยซ้ำไป

ที่น่าแปลกอย่างต่อมาก็คือ พี่โก้ดื่มหนักมาราวสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งมากและน้อยแม้แต่ครั้งเดียว! ข้อสำคัญก็คือ...พี่โก้อดเหล้าเข้าพรรษาทุกปี!

อดจริงๆ จังๆ เคร่งครัดและใจคอเข้มแข็งขนาดที่ไม่ยอมแตะต้องเลย เพื่อนฝูงที่เมาตลอดปีตลอดชาติเคยหิ้วเหล้ามาโจ้ที่บ้าน พี่โก้กับพี่ดาวก็ต้อนรับขับสู้ ไม่ว่าเหล้า โซดา หรือกับแกล้มไม่ขาดตกบกพร่อง ใครอยากดวดดื่มเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย ส่วนพี่โก้ไม่แตะต้องเด็ดขาด...จนกว่าจะออกพรรษา

ตอนแรกๆ เพื่อนฝูงก็คะยั้นคะยอ ยั่วเย้าว่าอย่ามัวแต่ดื่มน้ำส้มน้ำหวานอยู่เลย เดี๋ยวก็เมาสลบ...เอาเหล้าซักแก้วสองแก้วดีกว่า แต่พี่โก้หัวเราะส่ายหน้าลูกเดียว พวกเพื่อนๆ เห็นว่าไร้ผลก็เลิกตื๊ออีกต่อไป

พวกที่อดเหล้าเข้าพรรษาจะน่ากลัวก็ตอนก่อนเข้าพรรษากับออกพรรษา เพราะจะดื่มเหล้ากันหัวราน้ำ ก่อนจะอดเหล้าเรียกว่า "ปิดก๊อก" ผ่านสามเดือนเริ่มดวดเหล้าใหม่เรียกว่า "เปิดก๊อก" หลายคนดื่มหนักชนิดไม่ยับยั้ง ถูกหามเข้าโรงพยาบาลไปหลายราย บางคนดวงขาดถึงกับตายคาขวดก็มี!

เหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นตอนจะเข้าพรรษานี่เองครับ!

พี่โก้กับเพื่อนที่ "บวชเหล้า" สามเดือนตรงกัน กระทำพิธีปิดก๊อกล่วงหน้าขนานใหญ่มาราวสิบวันได้ ถึงจะขับรถกลับบ้านดึกหน่อยก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ บางคืนกลับมาแล้วก็เปิดเหล้าบรรเลงน้ำเมาคนเดียวจนฟุบคาโต๊ะไปเลย

คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายแล้ว...ราวห้าทุ่มเศษฝนกำลังตกพรำๆ ก็เกิดเสียงโครมสนั่นกลางซอย เล่นเอาชาวบ้านแตกตื่นกันออกไปดู...ภาพที่เห็นคือรถยนต์ของพี่โก้ชนเสาไฟฟ้าพังยับเยิน ตัวเองออกจากรถมาอาเจียนโอ๊กอ๊าก...เดินโซซัดโซเซพลางคายของเก่าน่าขนลุก มุ่งหน้าไปบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก...พี่ดาววิ่งลงมาเปิดประตูก็พอดีพี่โก้ฟุบฮวบลงสิ้นใจตาย!

ไม่มีใครรู้แน่ว่าพี่โก้ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือเพราะดื่มเหล้ามากเกินไป?

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ หลังจากเผาศพแกที่วัดเซิงหวายไปได้สามคืน...วิญญาณของพี่โก้ก็มาปรากฏที่แดนตายของแกทันที!

ตอนดึกๆ ได้ยินเสียงหมาหอนโจ๋วมาจากปากซอย บางคนนึกถึงพี่โจ้ก็ขนลุกซ่า บางคนก็ยืนยันว่าแว่วเสียงรถยนต์ของแกแล่นเข้าซอยมาช้าๆ แต่ที่ชาวบ้านหลายคนได้ยินตรงกันก็คือเสียงอาเจียนโอ๊กอ๊ากน่ากลัว ตอนแรกๆ ยังมีคนพาซื่อคิดว่าใครในซอยเมามายขนาดหนักเพิ่งจะตุปัดตุเป๋กลับบ้าน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงพี่ดาวร้องกรี๊ดๆ อยู่ที่หน้าต่างชั้นบน ครั้นลุกไปชะโงกหน้าดูก็เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนเกาะรั้วเงยหน้ามอง...หน้าตาซีดเซียวของพี่โจ้นั่นเองที่ขาวซีดอยู่ในแสงไฟ ดูเหมือนจะมีน้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาว

เสียงหมาหอนโหยหวนน่าสยองขวัญ แต่ภาพใบหน้านั้นก็ทำให้หัวใจตีบตื้นด้วยความเวทนา หลุดปากออกมาว่า...โธ่! พี่โก้...ไม่น่าเลย...

ลมเย็นเฉียบกระโชกวูบ พัดร่างนั้นให้วูบวับดับหาย...เหลือแต่เสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ทรมาน ก่อนจะจางหายไปกับสายลม...

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

อย่าท้าทาย!!

คำเตือน//ระวังไว้ก่อนที่คุนจะพูดอะไรเรื่องนี้ปนเรื่องจากนักศึกษาคนหนึ่ง..................

สวัสดี ค่ะดิฉันเป็นนักศึกษาปี 1 ในมหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ที่จะเล่าให้พี่ๆฟังไม่ใช่ ประสปการณ์ในมหาลัยนะค่ะ
แต่เป็นประสปการณืตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่จังหวัด นครสวรรร์

บ้านดิฉันอยู่ที่จังหวัดเพชรบรณ์ ดิฉันเลยต้องมาอยู่หอพัก
หอพัก ที่ดิฉันอยู่เป็นหอพักสตรี จึงทำให้ดิฉันมีแต่เพื่อนๆผู้หญิงเป็ฯส่วนใหญ่ ส่วนตัว ดิฉันเองมีนิสัยที่ชอบทำอะไรแบบสนุกไปวันๆ

แล้วภาษาที่เพื่อนๆเรียก คือชอบ(แวกกฏ) ของหอพักเป็นประจำ
หนีเที่ยวไปเดินห้าง ไปตามเทศกาล ที่จังหวัดเขาจัดขึ้น
ซึ่งหอพักมีกฏระเบีนบให้นักเรียนเข้าหอพักห้ามเกินเวลา 18.00 น.
แต่ดิฉันก็ไปกับเพื่อนที่หอแล้วกลับเกินเวลาอยู่ประจำ
แต่ผู้ดูแล หอพักก็เอาผิดดิฉันไม่ได้ เพราะดิฉันจะเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งจนผู้ดูแลตั้งชื่อ ดิฉันว่า ปลาไหล

และแล้วก็มาถึงวันเกิดเหตุที่ดิฉันไม่มีวันลืมเลย

หลังจาก การเรียนของวันสิ้นเดือนจบลง เจ้าของหอพักให้ดิฉันแล้วเพื่อนพาน้องๆ ไปตัดผมเพราะว่าพรุ่งนี้อาจารย์จะตรวจ
พอทุกคนตัดผมเสร็จแล้วก็ประมาณ เวลา 19.30 น. เป็นเวลาที่รถประจำทางที่ผ่านหน้าหอพักหมดพอดี

ดิฉันจึง เหมารถจากทางอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านหลังหอพัก
แล้วทางรถผ่านทาง เดียวคือทางวัดซึ่งติดกับหอพัก แล้วทางเข้าหอพักเป็นทางแคบๆแล้วมึดมาก ซึ่งรถที่เราเหมามาเขาไม่เข้าไปส่งเราต้องเดินเข้าประมาณ 100 เมตร

ขณะที่เราผ่านวัดวันนั้นมีงานศพที่กำลังเตรียมตัวจะสวดอภิธรรมตามประเพณี ความนึกสนุกของดิฉันก็เกิดขึ้นดิฉันได้ร้องทักเจ้าของงาน คือคนที่นอนในโรงสี่เหลี่ยมนั้น ว่า สวัสดีค่ะ แล้วยกมือไหว้

หลังจากนั้นเพื่อนๆได้ร้องทักว่าอย่า พูดแบบนี้เดี๋ยวเขาก็ตามมาหรอก แต่ดิฉันไม่ฟังแล้วยิ่งสนุกไปกันใหญ่ เพราะ รถที่นั่งมาเป็นใจดับไฟทำให้ที่รถมึดมาก แล้วทุกคนก็ กรีดกันเสียงดังมาก ดิฉันหัวเราะดังลั่น แล้วพอรถจอดที่เราต้องเดินไปมีคนเล่นผีถ้วยแก้วอยู่

ดิฉันก็ ร้องทักว่าเล่นไม่ชวนเลยนะแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนพากันว่าฉัน ว่าเดี๋ยวก็เจอดีหรอก แต่ดิฉันยังไม่เลิกสนุก ดิฉันวิ่งก่อนใครแล้วบอกว่ามีใครก็ไม่รู้อยู่บนกำแพงวัด

เพื่อนๆพากันร้องกรีด แต่ดิฉันหัวเราะชอบใจ แล้วพอเราเข้าถึงที่ หอพัก ต่างก็พากันแยกยายไปอาบน้ำดิฉันก็ไปอาบน้ำเช่นกัน
แต่ห้องที่ดิฉันจะอาบมีคนอาบอยู่ดิฉันจึงต้องต่อคิว จึงเอาพาเช็ดตัวพาดไว้ที่ขอบห้องน้ำ

แต่พอดิฉันเงยหน้าขึ้นไปจะพาดผ้าสิ่งที่ฉันห็นคือ ภาพผู้ชายมองลงมาที่ฉัน แล้วยิ้ม หลังคาห้องน้ำจะมีกระเบื่องใสอยู่แผ่นหนึ่งจึงทำให้ฉันเห็นชัดขึ้น ดิฉันร้องกรีดอย่างดังแล้วตัวสั่นมาก

เพื่อนสนิทฉันมากอดฉันไว้แน่นแล้วร้องไห้ พอเพื่อนดิฉันสวดมนต์ดิฉันก็หายตกใจแล้วเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนๆจึงไปขอธูป ผู้ดูแลหอพักมาให้ไหว้พระแล้วขออโหสิกรรมให้กับศพที่วัด แล้วคนที่เล่นผีถ้วยแก้วก็ด้วย

แล้ววันรุ่งขึ้น เพื่อนดิฉันพาดิฉันไปที่วัดที่งานศพนั้น ดิฉันตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคืองานศพของผู้ชาย แล้วหน้าตายังคล้ายกับที่ดิฉันเห็นเมื่อคืน ดิฉันถามคนที่มางานบอกว่าเป็นศพที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง

ทำให้ดิฉันช๊อกไปชั่วขณะแล้วดิฉันก็ได้ไหว้ศพเพื่อขออโหสิกรรม
ต่อจากนั้น มาดิฉันไม่เคยทักอะไรหรือเล่นอะไรแบบนี้อีกเลย

ซอยเทเวศร์1

ปวัตต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่พระยา บริษัทประกันภัยที่ผมทำงาน อยู่แถวสี่พระยานี่เองครับ ความเจริญไม่ต้องพูดถึงก็ได้

เพราะ เป็นย่านธุรกิจการค้าที่ใหญ่เป็นอันต้นๆ ของกรุงเทพฯ มาหลายสิบปีแล้ว ตอนเที่ยงๆ พนักงานบริษัทและห้างร้านกรูเกรียวกันออกไปหามื้อเที่ยงกิน มองจากตึกสูงๆ เห็นแต่หัวดำๆ เหมือนมดเหมือนปลวกไม่มีผิด

เฉพาะบริษัทผมแห่งเดียวก็ปาเข้าไปตั้งเกือบ 100 คน! เมื่อราว 2-3 ปีก่อน เกิดเรื่องสยองติดๆ กัน คือพนักงานสาวกินยาตายในห้องน้ำ สาเหตุจากปัญหาท้องไม่มีพ่อ กับอกหักกระโดดตึกที่หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่า "โหม่งโลก" ฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ ตึกสูงสิบกว่าชั้นจะไปมีอะไรเหลือล่ะ?

"พี่แอ๋ว" ผู้ช่วยฝ่ายการเงินไปเข้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหมดสติ กว่าจะมีคนไปพบและนำส่งโรงพยาบาล พี่แอ๋วก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นชีวิต

เพิ่งจะเผาศพเธอไปหยกๆ "น้องหมวย" สาวสวยประจำแผนก บริการลูกค้า เพิ่งจะออกจากห้องน้ำมาหยกๆ กลับมานั่งโต๊ะเดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัว ก่อนจะล้มฮวบลงบนพื้น มือหนึ่งตะกายเก้าอี้ ที่ลูกล้อมันลื่นหนีไปเรื่อยๆ พอเพื่อนๆ วิ่งมาดูก็แตกตื่นร้องวี้ดว้ายไปตามๆ กัน

น้องหมวยเอียงหน้าซบกับท่อนแขน ปากอ้า นัยน์ตาลืมค้าง...เบิกโพลงเหมือนมองเห็นภาพที่สยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ! ชั่วเวลาเดือนเศษๆ มีทั้งฆ่าตัวตาย 2 ราย กับตายด้วยอุบัติเหตุ รวมทั้งหัวใจวายอย่างละ 1 ราย...ปาเข้าไปตั้ง 4 ศพ จะไม่ให้คนขวัญอ่อนกลัวผีได้ยังไง?

พนักงานส่วนมากมักหน้าตาไม่ ค่อยเสบยนัก ดูซีดๆ เซียวๆ ยังไงชอบกล มักจะเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยอาการหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา เรียกว่าแทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็คงจะไม่ผิดนัก

มีเสียงซุบซิบว่าเจ้าที่แรงบ้าง ผีดุบ้าง เมื่อราว 3 ปีกว่าๆ มาแล้วเคยมีคนงานเช็ดกระจกพลัดหล่นลงไปคอหักตาย เชื่อว่าวิญญาณที่เจ็บปวดคงจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณดุร้าย เฮี้ยนจัด ตามรังควานคนชะตาขาดเพื่อเอาไปอยู่เมืองผีติดๆ กันถึง 4 คน จนอกสั่นขวัญหายกันไปทั้งบริษัท

พอจะซาไปหน่อย อ้าว? น้าติ๋ม-แม่บ้านประจำชั้นเราเกิดเป็นลมตายในห้องพักขึ้นมาดื้อๆ ห้องที่ว่าจะเรียกกันว่า "ห้องกาแฟ" คือมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ชั้นวางขวดเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน

น้ำตาล และคอฟฟี่เมต สำหรับบริการพนักงานอาวุโสกับแขกเหรื่อที่มาติดต่อธุรกิจแทบทั้งวัน มีโต๊ะอาหารเล็กๆ กับเตียงเตี้ยๆ สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ไม่ถึงกับเอนหลังหรอกครับ เพราะมีแขกมากหน้าหลายตาจนน้าติ๋ม กับผู้ช่วยชื่อพี่แป้งไม่ค่อยมีเวลาหยุดหย่อนเท่าไรนัก

วันเกิดเหตุ มีลูกค้ามาติดต่อเรื่องเคลมประกันตอนใกล้งานเลิกพอดี พี่แป้งเล่าว่าน้าติ๋มชงกาแฟสองที่ วางซองน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตไว้ที่จานรองเรียบร้อย แล้วส่งให้เธอเอาไปบริการที่ห้องลุงอรรถ-หัวหน้าแผนก แต่พอกลับมาก็เห็นน้าติ๋มนอนหลับตา

เอียงหน้านิดๆ ปากอ้าเผยอเหมือนคนนอนหลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกมาหยกๆ นี่เอง น้าติ๋มตายแล้ว! พี่แป้งวิ่งออกจากห้องกาแฟมาร้องไห้โฮจนพวกเราลุกพรวด ผมวิ่งไปดูก็เห็นน้าติ๋มสิ้นลมไปแล้วจริงๆ พวกผู้หญิงที่ตามหลังมาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งต้องไล่กลับไปที่โต๊ะหมด ทุกคน

บ้างก็ว่าน้าติ๋มเป็นลมตาย บ้างก็ว่าโรคหัวใจกำเริบ และบ้างก็ว่าโดนผีหลอก!! พี่แป้งไม่กล้าทำงานต่อ จะลาออกท่าเดียว หัวหน้าต้องเรียกน้าแหม่มจากชั้นบนลงมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน

พี่แป้งยังไม่วายขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตามน้าแหม่มแจ...ขนาดจะเข้าห้องน้ำพี่แป้งยังต้องขอให้น้าแหม่มอยู่หน้าห้องเลยครับ

เวลาผ่านไปเกือบเดือน พวกเรากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็พอดีมีลูกค้าเก่ามาหาลุงอรรถ ดูเหมือนจะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เลขาฯ หน้าห้องก็บอกไปทางน้าแหม่ม พี่แป้งที่อยู่ใกล้ๆ

ก็กุลีกุจอหยิบ น้ำตาลกับคอฟฟี่เมตมาใส่จานรองเตรียมพร้อม น้าแหม่มหันมายื่นถ้วยกาแฟให้...แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของน้าติ๋ม ที่ตายไปแล้วชัดๆ โลกของพี่แป้งแตกกระจายในพริบตานั่นเอง

เสียงร้องกรี๊ดๆ เหมือนเกิดไฟไหม้ พวกเราเห็นพี่แป้งร้องไห้โฮ นัยน์ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นภาษานอกจากชี้ไม้ชี้มือไปข้างหลัง ได้ยินแต่ว่า...น้าติ๋ม! ผีน้าติ๋ม!

โอย... พี่แป้งลาออกไปแล้ว ไม่ว่าใครจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันแต่ว่า...ตกงานยังดีกว่าโดนผีหลอกจนช็อกตาย!