วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ใน ม.จุฬา

ศิลปกรรมศาสตร์ ห้องล้างรูป
- ว่ากันว่าห้องล้างรูปรวมของศิล’กรรมน่ากลัวที่สุด
นอกจากเรื่องเห็นขาแกว่งแล้ว ยังมีแสงลูกไฟสีต่างๆ แวบไปแวบมาในห้องล้างรูปอีกด้วย
(ซึ่งห้องล้างรูปจะต้องมืดหรืออาจให้มีแสงสีแดงได้สีเดียว)
บางทีก็มีเสียงเก้าอี้นั่งรอล้างรูปดังอี๊ดอ๊าด ทั้งๆ ที่ไม่มีคนนั่งรอ
หรือนิสิตบางคน ได้ยินเสียงคนตบแท็งค์น้ำในห้องล้างรูปทั้งๆ ที่ไม่มีคนอื่นในห้อง
ว่ากันว่านิสิตขอให้คณะย้ายห้องหลายครั้งแต่คณะไม่มีงบฯ
อันนี้เป็นข้อมูลหลายปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้ย้ายห้องหรือยัง




อักษรศาสตร์ ห้องสมุด
- ห้องสมุดที่ตึกเก่าของอักษร มีนิสิตชายคนหนึ่งไปอ่านหนังสือ
เห็นนิสิตผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าอ่านหนังสือนานมากไม่เงยหน้าซะที
เลยถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผู้หญิงเลยเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่า...ไม่มีหน้า




วิทยาศาสตร์ ตึกชีววิทยาทางทะเล
- ชั้น 4 หรือชั้น 5 ไม่รู้ นิสิตที่อยู่ดึกบอกว่าเห็นเงาคน และแสงไฟวูบวาบบ่อยมากทั้งที่ไม่มีคน
ลิฟต์ก็ชอบเปิดชั้นนี้ทั้งที่ไม่มีคนกดเรียก




ห้องน้ำแถวภาควิชาเคมี
- อยู่ดีๆ บานประตูก็ปิดเอง (และล้อคด้วย) บ่อยมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีลม และแน่นอน
ไม่มีคนเข้า พอนิสิตไปถามยามยามก็บอกว่าชินแล้ว
บอกอย่างทำใจได้ว่าถ้าเจอก็มาตามก็แล้วกัน จะไปช่วยไขกุญแจให้



ประตูอังรีฯ
- เพื่อนเราอยู่คณะวิทยาศาสตร์ (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ แนน) ขับรถมาทางประตูรัฐศาสตร์ อังรีฯ
จะวกรถออกไปแยกสุรวงศ์ เลยต้องไปรอเลี้ยวรถกลางถนน พอไฟส่องไปที่ใต้สะพานลอยฝั่งโรงพยาบาลจุฬา
ก็เห็นคนนั่งยองๆ อยู่ใต้สะพาน ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป

นอกจากหน้าเหมือนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งแล้วโดนสาดน้ำน่ะ คือขาวๆ ย้อยๆ
ไฟหน้ารถเธอจับอยู่นานพอดูเพราะต้องรอกลับรถ เมื่อเธอหันไปดูเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่นั่งมาด้วยกัน
ก็ไม่มีทีท่าว่าเห็นอะไร เหมือนเธอเลย เธอก็เลยทำเฉยๆ กลัวว่าเพื่อนจะกลัว




เศรษฐศาสตร์
- ประตูชั้นล่างที่จะออกไปโรงอาหารด้านหลัง ถูกกั้นไม่ให้เข้าออกเพราะเป็นทางผีผ่าน
มีคนเห็นอะไรแปลกประหลาดมามากมาย


ชั้นที่มีห้องพักนิสิต ป.โท (ไม่รู้ชั้นไหน)
- เพื่อนเราเพิ่งจบโทมาปีสองปี (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ โอชิน) เล่าว่า
วันหนึ่งค่ำแล้วฝนตกหนักทุกคนกำลังจะกลับบ้าน แต่เลอะเทอะกันมากเลยกลับมาห้องพักนิสิตปริญญาโท
เพื่อหลบฝนและล้างโคลน เพื่อนเราไปล้างโคลนคนเดียวในห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องพัก

พอดีไฟดับ เพื่อนเราเลยโผล่ออกมาดูคนอื่นๆ ว่าเป็นไงบ้าง เห็นเงาดำๆ
อยู่ห่างออกไปตรงทางเดิน ทำท่าเหมือนกำลังเดินเข้ามาหา
เธอดูรูปร่างแล้วเลยเรียกชื่อเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่หุ่นแบบนี้
แต่เงาดำไม่ตอบ และเดินเท่าไหร่ก็ไม่ใกล้เข้ามาสักที

แป๊บนึงอยู่ดีๆ เงาดำก็หายไป เพื่อนเราคนนี้ก็เหมือนคนที่แล้ว คือ
ไม่ยอมบอกเพื่อนกลัวเพื่อนจะกลัว เดินกลับเข้าห้องไปรวมกลุ่มเฉยๆ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น




หอหญิง (ตึกดำ)
- เพื่อนเราเคยอยู่หอหญิงบอกว่าชั้น 10 เนี่ยดุสุดๆ คืนหนึ่ง
ก่อนนอนกลัวว่าจะร้อน เลยเปิดประตูมุ้งลวดให้ลมเข้า คนที่นอนริมในสุดบังเอิญเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกพอดี
เล่าว่ากลางดึกอยู่ดีๆ เธอก็ตื่นมา เมื่อมองไปนอกมุ้งลวด เห็นคนคลุมหัวเดินอยู่
ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นเพื่อนที่เป็นมุสลิมในชั้นเดียวกันนั้น แต่ร่างที่ว่าเดินเท่าไรก็ไม่พ้นหน้าห้องซักที
เธอเลยรู้ว่าเจอดีเข้าแล้วก็เลยคลุมโปงนอนต่อ



วิศวกรรมศาสตร์ ห้องสมุด
- เราไม่เคยเข้านะเลยไม่รู้ว่าห้องนี้ยังใช้อยู่หรือเปล่า
แต่ที่ได้ยินมาคือ เป็นห้องที่ดัดแปลงจากอาคารที่เดิมเป็นตึกเรียนเก่า
กลางวันแสกๆ วันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งเข้าไปค้นหนังสือในส่วนที่ห้ามนิสิตเข้า
คือ ยืมได้แต่ห้ามเดินเข้าไปเองน่ะ ทีนี้อาจารย์ท่านนั้นกำลังก้มหน้าส่องหาหนังสืออยู่ตามชั้นต่างๆ
พอขยับหน้าผ่านไปตรงช่องว่างระหว่างหนังสือ ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีหน้าจ้องผ่านร่องหนังสือเข้ามา
เห็นว่าใส่ชุดนิสิตอยู่ด้วย อาจารย์ตกใจและโกรธด้วยเลยเดินไปถามว่านิสิตเข้ามาได้ยังไง

แต่พอเดินไปถึงช่องนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลย ที่สำคัญพออาจารย์เดินหาจนทั่วพบว่า
แม้แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดเองก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำไม่มีทางที่ใครจะมาโผล่หน้าให้เห็นได้
แต่เมื่ออาจารย์เดินกลับไปหาหนังสือที่ชั้นเดิมก็ได้กลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นไหม้ที่แรงมาก




ห้อง Sound Lab
- ห้องไหนไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าตึกที่ถูกทุบไปหรือตึกที่ยังอยู่ปัจจุบัน เพราะอักษรมี Sound Lab เยอะมาก
อาจารย์หญิงท่านหนึ่งรับฝากชั้นเรียนไว้ได้รับคำฝากฝังให้เปิดเทปให้นิสิตฟังและคอยเช็คชื่อก็พอ
ขณะกำลังเปิดเทป มีนิสิตหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หลังห้องไม่ยอมใส่หูฟัง
อาจารย์เดินไปถามก็ตอบว่าเจ็บคอ พอตอนออกจากห้อง
อาจารย์คอยเช็คชื่อ เห็นคนครบแต่ไม่มีชื่อเด็กคนที่ไปคุยด้วย และเด็กก็ไม่ยอมออกมาสักที

เลยเดินกลับไปหา ไปดูที่โต๊ะก็ไม่เจอ แต่พอหันออกมาจะกลับเห็น เด็กยืนอยู่กลางห้องสายหูฟังพันคออยู่
และโยงไปที่เพดาน อาจารย์หมดสติไปเลย มาทราบทีหลังว่ามีเด็กเพิ่งฆ่าตัวตายในห้องนั้น




ห้องมืด (ห้องล้างฟิลม์) ของคณะนิเทศศาสตร์
- เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อก่อนมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้
แล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย....มีคนเข้าไปหาตั้งหลายครั้งแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครพบ...ได้มีนิสิตรุ่นน้องต่อๆ มาเล่าให้ฟังว่า ...ยังมี เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีก

เช่น มีนิสิตได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้ ขณะที่เข้าไปนั้นก็คิดว่าตนนั้นเข้าไปกับเพื่อน
ก็มีการพูดคุยกัน แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อน...บอกให้หยิบของส่งให้
ก็มีคนหยิบส่งให้.....แต่พอออกมาเห็นเพื่อนของตนอยู่นอกห้อง
จึงได้รู้ว่า ตนเข้าคนเดียว......แล้วใครล่ะที่เป็นคนหยิบของส่งให้.......ยังคงเป็นปริศนาอยู่




ทางเดินระหว่างตึกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
- ทางเดินที่ว่านี้ มีประวัติอยู่ว่า
สมัยก่อนมีสามีภรรยานักการของคณะสถาปัตย์ได้ทะเลาะกัน .....ฝ่ายภรรยาได้เอาปืนยิงสามี
จนเสียชีวิต ...เลือดสาดไปทั่วหน้าห้องทางเดินนี้........
ต่อมาเมื่อทาง คณะได้มีการปรับปรุงพื้นชั้นหนึ่งได้มีการเทปูนไว้
แต่.......มีเฉพาะหน้าห้องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมแห้ง ทิ้งไว้นานสักเท่าไรก็ไม่ยอมแห้ง
....ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่าที่เห็นกันทุกวันนี้....




ห้อง 415 หอพักนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- เล่ากันว่าถ้าหากวันไหนตื่นขึ้นมาตอนดึกๆ คนที่ตื่นขึ้นมาจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนอยู่ที่ปลายเตียง



ดาดฟ้าตึกพยาธิวิทยา
- ตอนดึกๆ หรือตอนเย็นๆ ใกล้ค่ำ
ถ้าหากมีใครขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นคนยืนนุ่งชุดสไบสีขาว



ล๊อกเกอร์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์
- ที่นั่นเคยมีคนเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่บนล๊อกเกอร์ทีแรกเห็นแต่ขาแต่
ว่าเมื่อมองขึ้นไปกลับไม่มีตัวตนอยู่เลย

วิญญาณ นักศึกษา

เรื่องที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานะครับ

ผมจะต้องขึ้นไปเชียงใหม่ คืองานที่ผมทำจะเป็นเกี่ยวกับร้านมินิมาร์ท ต้องดูตั้งแต่งานก่อสร้างจนถึงร้านเสร็จน่ะครับ ลักษณะของการทำงานคือ เราต้องไปหาทำเลดีๆเพื่อเช่าตึก เป็นตึกที่มาลัษณะเป็น2คูหา ตึกที่ผมไปเช่าตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าประวัติความเป็นมาอย่างไร...หรือมีเรื่องเล่าลึกลับอะไรหรือเปล่า แต่พอรู้คร่าวๆ ว่าตึกที่อยู่ทางด้านขวามือมันจะมีประวัตินะครับ ตอนนั้นเราไปเช่าทั้งหมด2ตึก ทำสัญญากันเรียบร้อย ด้วยความอยากรู้ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของตึกที่ไปเช่า ผมจึงถามเจ้าของตึกที่อยู่ตึกนี้ว่า มีอะไร แปลกๆ มั้ย เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?

เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เพราะว่าซีกซ้ายกับซีกขวาถัดไป 2ห้อง จะไม่มีคนอยู่ นอกนั้นจะมีคนอยู่เต็มไปหมด

ทางทีมงานของเราจึงเริ่มทำการก่อสร้าง ตกแต่งเพื่อเปิดเป็นมินิมาร์ท พวกนักศึกษาและคนที่อยู่แถวนั้น พอผ่านไปผ่านมาก็มักจะถามว่ากำลังสร้างอะไร?
เราก็บอกว่ากำลังทำมินิมาร์ท แต่คำพูดต่อจากนี้สิครับ ที่ทำให้ผมสงสัยขี้นมาตงิดๆ เพราะหลายคนก็มักจะพูดว่า "คิดดีแล้วเหรอ?" นั้นทำให้ผมคิดว่ามีอะไรหรือเปล่า? แต่แทนที่ผมจะได้รับความกระจ่าง แต่กลับมีคำตอบที่ว่า"ไม่มีอะไรหรอก....สร้างไปเถอะ" หลังจากนั้นเราก็สร้างไปจวนจะเสร็จแล้ว แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ไปดูชั้น 2 ชั้น 3 ของตึกนั้นนะครับ เราก็ขึ้นไปดูตึกขวามือ ตึกที่เกิดเรื่องมีสายสิญจน์ตั้งแต่ข้างล่างจนไปถึงข้างบน ที่ทำให้บรรยากาศดูวังเวงมากขึ้นไปอีกก็คงจะเป็นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหยากไย่...ให้ความรู้สึกรกร้างอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ

แต่ในระหว่างที่เรากำลังสำรวจพื้นที่ยริเวณชั้น 2พลันก็ดันเหลือบไปเห็นนักศึกษาหญิงเดินนำหน้าเราขึ้นไปยังชั้น 3 ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่เกิดเหตุครับ(เกิดอะไรเดี๋วทราบกันครับ) ตอนนั้นผมก็เอะใจขึ้นถามน้องที่ไปด้วยกันว่า "น้องๆใครขึ้นไปค้างบนอะ?" น้องที่ไปด้วยก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็หันหน้ามาตอบว่า"ไม่มีใครนี่ครับพี่" แต่ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ทำให้ผมที่สาวเท้าตามขึ้นไปชั้น 3 แต่ผมปรากฎว่า เป็นสถานที่ที่เกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เพราะมีสายมีแถบของตำรวจขึงอยู่ ห้ามเข้าไปในบริเวณนั้น ตอนนั้นทำให้ผมถึงกับ ชะงักงันไปเลยครับ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจไปถามเจ้าของตึกว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี้ ทำไมมันมีพื้นที่ที่เข้าไม่ได้
แต่เจ้าของตึกกลับบอกว่าไม่มีอะไร สงสัยพวกตำรวจคงมาขึงเล่น...
มันยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่เลยครับ ตำรวจที่ไหนจะมาขึงเล่น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ตึกแห่งนี้ต้องเคยเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เหตุการณ์ระหว่างนั้นคือ ระหว่างที่เราทำงานอยู่ที่นี่ เราต้องอยู่ตึกซ้ายมือ ต้องนอนเฝ้างานก่อสร้าง แล้วทุกตี 3 ของทุกคืน ผมจะต้องสะดุ้งตื่นเพราะข้างบนได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ผมชวนพรรคพวกขึ้นไปดูสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไร มันไม่มีอะไรจริงๆ ครับเวลาผ่านไปประมาณ1สัปดาห์ พวกเราที่ทำงานอยู่ ด้วยกันที่นั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของความทรมานตลอด
จนมีอยู่มันหนึ่ง วันนั้นรู้สึกว่าจะเป็นวันพระ ตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำเวลาประมาณตี 2 เห็นจะได้ครับ อาบน้ำเสร็จก็มาแต่งตัว แล้วกระจกแต่งตัวของผมก็จะวางอยู่ในลักษณะที่มองเข้าไปก็จะเห็นเงาสะท้อนของระเบียงด้านหลัง แล้วสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรรู้มั้ยครับ ขอบอกว่าน่าสยดสยองมาก ผมเห็นผู้หญิงเปลือยท่อนบน โดนเหล็กทิ่มอยู่เลือดไหลโชกไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังพูดเสียงเบาๆเย็นๆว่า "หนูหิว!" ตอนนั้นผมตกใจมากเลยครับ ขนลุกไปทั้งร่างเลยทีเดียว ผมรวบรวมความกล้าหันไปมองตรงๆ ก็ยังเห็นเธออยู่ที่เดิม แล้วเธอก็ครำครวญ อีกว่า "หนูหิว!" จากนั้นเธอก็หายวับไปกลับตาเลยครับ นาทีต่อมาจากนั้นผมก็ลงมาข้างล่าง ถามน้องๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตรงระเบียงหรือเปล่า มีเหตุการณ์การอะไรเกิดขึ้นมั้ย?
ตอนนั้นผมเรื่มโวยวายลั่นแล้วครับคงเป็นเพราะด้วยความตกใจระคนความกลัวก็เป็นได้ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้แล้วความสงสัยหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมตัดสินใจไปหาเจ้าของบ้านตอนนั้นเลยครับ ตอนแรกเขาก็ อำๆ อืมๆ ไม่ยอมบอก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเฉลยความจริงให้ผมฟังครับ "ที่ตึกชั้น 3 ข้างขวา เคยมีนักศึกษาโดนฆ่าข่มขืน ตอนที่เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณตี 3 ครับ เธอถูกฆ่าเปลือย แล้วหลังจากฆาตรกรใจโหดข่มขืนเสร็จ ก็ใช้เหล็กแหลมทิ่มที่หน้าอก" ผมก็เลยให้เจ้าของพาไปเปิดห้องที่เกิดเหตุให้ผมดูครับ เชื่อมั้ยครับว่าเฟอร์นิเจอร์ ของทุกอย่างยังอยู่ครบ คราบเลือด เส้นผม สิ่งต่างๆยังอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ยังเครียร์คดีไม่จบ ซึ่งเจ้าของก็บอกว่าหลังจากเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น เธอก็มาขอส่วนบุญเป็นประจำ... เชื่อมั้ยครับว่าเรื่องนี้ ผม ได้สัมผัสมากับตัวเอง จริงๆครับ..

เจ้ากรรมนายเวร

ขอย้อนกล่าวถึงอดีตที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องได้รับผลแห่ง กรรมนั้นอยู่ในทุกวันนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2524 ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย ปี 2 อายุก็อยู่ราวๆ 19-20 ปี เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้าไปเดินเล่นกับเพื่อน พอขากลับก็ได้พบกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง สีขาว ขนปุย อยู่ที่ข้างถนน ข้าพเจ้าเห็นมันน่ารักดีจึงร้องเรียกมันว่า เจ้านุ้ย ๆ และดูเหมือนว่ามันจะชอบชื่อนี้ พอเรียก “นุ้ย ๆ” มันก็วิ่งมาหาเลย และยอมให้อุ้มแต่โดยดี ข้าพเจ้าจึงนำเอาเจ้านุ้ยไปฝากให้แม่เลี้ยงที่ อ.ศรีเชียงใหม่ และจะกลับไปเยี่ยมเจ้านุ้ยที่ อ.ศรีเชียงใหม่ ทุกอาทิตย์


และแล้ววันหนึ่งแม่ก็โทรมาบอกข้าพเจ้าว่า “ไอ้นุ้ยโดนรถชน” โดยรถมอเตอร์ไซค์เหยียบบริเวณท่อนหลังของเจ้านุ้ย แต่ไม่ตาย มันเดินด้วยสองขาหน้า แล้วลากส่วนท้ายที่โดนรถเหยียบ และร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวดทรมานทั้งวันทั้งคืน


ตอนแรกที่รู้ข่าวว่าไอ้นุ้ยโดนรถเหยียบ ข้าพเจ้าไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่อยากเห็นสภาพของเจ้านุ้ย แต่ก็อดคิดถึงมันไม่ได้ จึงตัดสินใจไปหาเจ้านุ้ย และจะพยายามทำใจไม่ให้สงสารมัน พอข้าพเจ้าก้าวเท้าเข้าไปถึงหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงของเจ้านุ้ยร้องครวญครางเดินสองขาหน้าลากส่วนหลังที่กำลังจะ เน่า เดินเวียนวนไปมา เนื้อตัวมอมแมม ลำตัวผอมกะหร่องด้วยความเจ็บปวดทำให้มันอยู่เฉยไม่ได้ ตลอดคืนยันเช้าเจ้านุ้ยมันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ร้องครวญคราง


รุ่งเช้าข้าพเจ้าตัดสินใจมายืนดูเจ้านุ้ย “ใครหนอช่างใจร้ายขับรถเหยียบมันแล้วหนี” เจ้านุ้ยมันคงเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ จะช่วยมันอย่างไรดี เพื่อให้มันพ้นทุกขเวทนา ร่างกายลำตัวของมันส่วนล่างที่กำลังจะเน่ามีแมลงวันบินตอมเป็นกลุ่มๆ มันคงจะปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว มันจะทรมานอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ถ้าหากมันตายไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทรมานอีกต่อไป คงจะเจ็บอีกแค่ครั้งเดียว ข้าพเจ้ายืนคิดอยู่นาน คิดไปคิดมา คิดจนสับสน




"เลือดไหลออกตามรูหู รูจมูก"

ขณะนั้นเองความคิดอุบาทว์ก็เกิดขึ้นมาในสมอง ข้าพเจ้าเดินไปจับได้ท่อนตอไม้ไผ่อันหนึ่งความยาวประมาณเกือบศอกแล้วเดินตรง ไปยังเจ้านุ้ยทันที ทันใดนั้นก็เงื้อตอไม้ไผ่ขึ้นสุดแขน น้าข้าพเจ้าร้องทักขึ้น “เฮ้ย นั่นจะทำอะไร” แต่ขณะนั้นเองตอไม้ไผ่ในมือของข้าพเจ้าก็ฟาดลงตรงขมับด้านซ้ายของเจ้านุ้ย อย่างแรงแล้วรีบหันหน้าหนี เสียงของเจ้านุ้ยร้องดังขึ้นอย่างแรง แต่มันไม่ตาย คราวนี้ข้าพเจ้าเหมือนถูกผีร้ายเข้าสิง หันหน้ามาหาเจ้านุ้ยแล้วกระหน่ำตอไม้ไผ่ลงไปที่ศีรษะของมันบริเวณเดิมแบบไม่ ยั้ง เสียงของมันค่อย ๆ เบาลง ๆ อย่างช้าๆ มีเลือดไหลออกตามรูหู รูจมูก และปาก ลำตัวของมันกระตุก สั่น ปากเผยอเล็กน้อยจนสิ้นใจและแน่นิ่งไปในที่สุด


อนิจจา! ชีวิตของเจ้านุ้ยผู้น่าสงสาร ข้าพเจ้ามอบความตายให้มันเพื่อหวังจะช่วยมันหรือเป็นการก่อกรรม ก่อเวรกับเจ้านุ้ยกันแน่ ตอนนั้นทำเพราะคิดจะช่วยให้มันหายจากทุกข์ แต่ใจจริงรัก เมตตา และเสียดายเป็นที่สุด


นับจากวันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของข้าพเจ้าก็ดำเนินแบบปกติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปเที่ยว น้ำตกธารทอง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขณะที่นั่งดูเพื่อนเล่นน้ำอยู่นั้น ไม่ทราบว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ข้าพเจ้าก็เกิดพลัดตกลงน้ำแล้วน้ำก็ไหลเข้าหูซ้ายทำให้มีอาการหูอื้อตลอดแต่ ไม่มีหนอง นาน ๆ เข้าก็เริ่มปวดและปวดรุนแรงขึ้น จึงได้ไปพบแพทย์ แพทย์ก็ให้ยาหยอดหูและยามาทาน แต่ก็ไม่หายขาด มีอาการปวดร้าวไปหมดทั้งบริเวณแถบศีรษะด้านซ้าย ไม่ปวดมากแต่จะปวดตลอดทุกเวลา ทุกวินาที ปวดพอให้รำคาญ ปวดแบบนี้มาเป็นปีๆแล้ว




"เป็นเลือดสดๆ ไหลออกมาจากปาก"

จนปี พ.ศ. 2528 อาการปวดเริ่มหนักขึ้น ทั้งเวียนศีรษะและหน้ามืดบ่อยครั้ง ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจไปหาหมออีกครั้งที่โรงพยาบาลศิริราช นครราชสีมา หมอใช้เครื่องส่องดูหูที่หูข้างซ้าย แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “โอ รูโบ๋เลย เยื่อแก้วหูทะลุต้องผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อแก้วหูใหม่นะ”


ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกเสียวและกลัวมาก ผ่าที่ไหนไม่ผ่า มาผ่าที่หัวเรา ถ้าตายจะทำยังไง แล้วหมอก็นัดวันผ่า ตอนผ่ากลัวก็กลัว แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บมากนัก เพราะฤทธิ์ของยาชา แต่ก็ยังมีอาการเสียวๆ เย็นๆ ตรงที่ตอนคมมีดกรีด รู้สึกเย็นลงมาที่ลำคอในหลอดอาหาร แล้วข้าพเจ้าก็หมดสติไป จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก เพราะข้าพเจ้าวิ่งสุดกำลัง วิ่งหนีสิ่งที่น่ากลัวมาก ซึ่งไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ด้านหลังของข้าพเจ้าคือสุนัขร่างผอมตัวหนึ่ง สีขาว รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก สูงประมาณเกือบศอก มันแยกเขี้ยวยาวคมกริบ ดวงตาทั้งคู่ของมันโตมากแดงเหมือนสีเลือด มันวิ่งเร็วมาก ข้าพเจ้าก็หนีสุดแรง ไม่ยอมหยุด เหมือนเกลียด โกรธ ชิงชังกันมาเป็นปีเป็นชาติ และในช่วงวินาทีนั้นข้าพเจ้าก็ขาอ่อน และทรุดลง สุนัขตัวนั้นก็ได้กระโดดขึ้นงับบริเวณศีรษะซีกซ้ายทั้งแถบ ข้าพเจ้าร้องและดิ้นจนสะดุ้งตื่น ทำให้เตียงข้างๆ หันมามอง และพูดกับข้าพเจ้าว่า


“อ้าวเป็นอะไร รู้สึกตัวแล้วเหรอ รู้ไหมคุณหลับอยู่นี่สองคืนแล้วนะ พยาบาลเขาเดินมาดูหลายรอบแล้ว คุณก็ไม่ตื่นสักที” ข้าพเจ้ายิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เขาคิดย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่ามัน คืออะไร สักพักหนึ่งเหมือนอยากจะอ้วก รีบพยุงตัวเองไปที่กระโถน รู้สึกเหมือนมีอะไรไหลอยู่ในลำคอ ข้าพเจ้าอ้าปากปล่อยให้มันไหลออกมา ปรากฏว่าเป็นน้ำเลือดสีแดงสดๆ ไหลออกจากปากลงสู่กระโถน ข้าพเจ้านอนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน แล้วหมอก็ให้กลับบ้านได้


หลังจากผ่าตัดหูแล้วก็ยังมีอาการปวดศีรษะด้านซ้ายอยู่ โดยเฉพาะตรงหูและขมับซ้ายปวดตลอดเวลา จึงไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลอีก หมอบอกว่าเยื่อแก้วหูทะลุอีก แต่ไม่มากนัก ขนาดเท่าปลายปากกา ข้าพเจ้าถามว่า “จะได้ผ่าตัดอีกไหม”




"เฮ้ย คุณฆ่ามันทำไม"

หมอบอกว่า “ยังไม่ต้องหรอกเพราะยังไม่มาก” หมอให้ยามาหยอด และยาทาน อาการก็แค่พอทุเลาแต่ไม่หาย ระยะหลังๆ มานี้จะมีอาการปวดลูกตาซ้ายร่วมด้วย ปวดข้างเดียว ตาข้างขวาไม่เป็นอะไร และเวลานอนกลางคืนข้าพเจ้ามักจะฝันเห็นสุนัขตัวผอมรูปร่างน่าเกลียดตัวนั้น ไล่กัดแทบทุกคืน ก็สงสัยนะว่ามันเป็นเพราะเหตุใด


จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องพาแม่ไปนอนวัดเพื่อจำศีลอุโบสถที่ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นวัดกรรมฐาน ตอนนั้นเป็นเวลาทำวัตรเย็น แม่ให้อยู่ทำวัตรเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับ พระเริ่มสวดมนต์ได้สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็เริ่มมีอาการง่วงนอน ง่วงมากจนทนไม่ไหว จะหลับท่าเดียว จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยินเสียงพระสวดมนต์เลย จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าตัวเองนั่งพนมมืออยู่ ไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ข้าพเจ้าก็มองเห็นและได้ยินเสียงร้อยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของสุนัขตัว หนึ่ง มีขนสีขาว ตัวผอม ตอนนั้นข้าพเจ้าเหมือนลอยอยู่ มองดูข้างๆของสุนัขตัวนั้น มีชายคนหนึ่งกำลังถือตอไม้ไผ่อยู่ในมือยาวประมาณครึ่งศอก ข้าพเจ้าใจหายวาบ ขนลุก และกลัวจนตัวสั่น เพราะชายคนนั้นกำลังใช้ตอไม้ไผ่ตีลงไปที่หัวของสุนัขแบบไม่ยั้งมือ ข้าพเจ้ารีบร้องตะโกนใส่ชายคนนั้น “เฮ้ย! คุณฆ่ามันทำไม มันไปทำอะไรให้คุณ” ชายคนนั้นไม่ตอบ และเหมือนจะไม่ได้ยิน จนสุนัขตัวนั้นขาดใจตายและแน่นิ่งไป แล้วชายคนนั้นก็หันหน้ามา พอข้าพเจ้าเห็นหน้าเขาก็ตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น


อนิจจา ชายคนที่หันหน้ามาเขาคือตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าตกใจกลัวและรู้สึกตัวขึ้นมา ปรากฏว่าทำวัตรเย็นจบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังนั่งหลับตาภาวนาสมาธิกันอยู่ แต่หลายคนก็กลับไปแล้ว ข้าพเจ้าหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง “โธ่ นี่เรานั่งอยู่ตรงนี้เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วหรือ” แต่ไม่อยากรบกวนคนที่นั่งสมาธิอยู่ข้างๆ จึงนั่งต่อ ช่วงนั้นร่างกายรู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกว่าอาการปวดศีรษะจะไม่มีเลย จึงขยับตัวเปลี่ยนท่ามานั่งขัดสมาธิเหมือนที่คนข้างๆ เขาทำ แต่ไม่รู้หรอกว่านั่งแล้วต้องท่องคาถาอะไรหรือเปล่าเพราะไม่เคยนั่ง เห็นตัวเองกำลังรู้สึกสบายก็เลยอยากจะนั่ง




"ตั้งแต่นั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ไปรักษาหูอีกเลย"

แต่เอ๊ะ! ที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านไปเมื่อสักครู่มันคืออะไร และแล้วข้าพเจ้าก็รู้ และจำได้ทั้งหมดทุกขั้นตอนที่ทำกับเจ้านุ้ย มิน่าล่ะ ภาพนี้เหตุการณ์นี้มันจึงได้ตามหลอกหลอนข้าพเจ้าเรื่อยมา ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้กับใคร จนได้มาเจอ นิตยสารโลกทิพย์ และได้มาอ่านเจอคอลัมน์ “กรรมใดใครก่อ” จึงคิดที่จะเปิดเผยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ที่สนใจ ได้อ่านและพิจารณาปฏิบัติตัวตามแนวทางที่เป็นจริง หลีกเลี่ยงจากการก่อกรรมทำเข็ญต่าง ๆ


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าไม่คิดที่จะไปรักษาหูให้หายขาดจากความเจ็บปวด อีกเลย ข้าพเจ้ายอมรับความเจ็บนี้ แม้จะเจ็บปวดไปจนถึงวันตายก็ยอม บุญใด กุศลใดที่ข้าพเจ้าทำ ที่ข้าพเจ้าสร้าง ขอให้เจ้านุ้ยได้รับผลบุญกุศลที่ได้อุทิศไปให้ ไม่ว่าเจ้านุ้ยจะตกอยู่ ณ สถานที่แห่งใดก็ตาม ถ้าเจ้านุ้ยได้รับความทุกข์ทรมานก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้ามีสุขก็ขอให้มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย ขอให้หมดเวรหมดกรรมต่อกันแต่เพียงชาตินี้

วันปล่อยผี

"สมศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยนามบัญญัติ

ถึงแม้ว่าภาพสยองขวัญวันนั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็ติดตาติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ!

สมัยก่อน ตรอกนามบัญญัติที่ถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับวัดมกุฏฯ ยังเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าเข้าไปราว 100 เมตรจะเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเล็กเรือน น้อยอยู่ติดๆ กันก็จริง แต่เมื่อเลี้ยวขวาจะไปออกทางด้านหลังวัดอินทร์ จะมีที่รกร้างรอบๆ บึงที่มีต้นอ้อกอพงรกทึบ

ตอนเย็นๆมักจะมีเด็กท่อมๆไปหาปลากัดบ้าง ช้อนลูกน้ำบ้าง...พอตกค่ำก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ

ผู้คนในซอยนั้นมักเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็ทำงานบริษัทห้างร้าน คนที่อยู่บ้านก็มักหาลำไพ่ด้วยการรับจ้างกะเทาะเม็ดบัวบ้าง ฟั่นธูปบ้าง...ตอนนั้นมีบ้านที่ยึดอาชีพฟั่นธูปขายหลายบ้าน ส่วนมากจะส่งเจ้าประจำที่ปากคลองตลาดเกือบทั้งหมด

ดิฉันเป็นหลานป้ากิมไล้ที่เป็นม่ายสามีตายมาหลายปีแล้ว อยู่เกือบกลางซอยเป็นบ้านไม้สองชั้น ตอนเช้าๆ จะ มีลูกจ้างฟั่นธูปมาจากบ้านในซอยเดียวกันบ้าง มาจากเทเวศร์ บ้าง ชื่อน้าสมรกับน้าบังอรและน้าเดือน...ดิฉันเองชื่อสมศรีค่ะ

นึกถึงชื่อสมัยนั้นถือว่าเก๋มากนะคะ แต่มาสมัยนี้แทบจะหาคนชื่อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถือว่าตามยุคตามสมัยก็แล้วกัน!

บ้านป้ากิมไล้น่ะอะไรๆ ก็ดีหมด ชั้นล่างหน้าห้องดิฉันเป็นที่นั่งฟั่นธูปแล้วปักม้าไม้ที่เจาะรูเอาไว้หลาย สิบ พอธูปเต็มม้าดิฉันก็มีหน้าที่ยกไปตากแดด อาหารการกินมีพร้อม ก๋วยเตี๋ยวหมูที่เจ๊กเตี้ยหาบมาขายตอนบ่ายๆก็อร่อยมาก ...ชามละบาทเดียวเอง

...เสียอย่างเดียวที่ชั้นบนอันเป็นห้องนอนของป้ากิมไล้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ ถูก แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างและประตูไปสู่ระเบียงแคบๆ หน้าบ้าน...สาเหตุมาจากรูปถ่ายของอาก๋งที่อยู่บนหิ้งข้างฝานั่นเองค่ะ!

รูปถ่ายบานใหญ่ของเตี่ยป้ากิมไล้คล้ายจะจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายาวเรียว หนวดเฟิ้มแทบจะปิดริมฝีปาก นัยน์ตาดุมาก มองเห็นทีไรเล่นเอาดิฉันเสียวสันหลังทุกครั้ง...ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมขึ้นไป ชั้นบนเด็ดขาด

วันเกิดเหตุ ตอนบ่ายแก่ๆ มีฝนพรำแต่ก็เป็นอุปสรรคอย่างแรงสำหรับคนทำอาชีพฟั่นธูป เพราะไม่มีแสงแดดก็ต้องหยุดงาน...หลังจากตั้งโต๊ะผึ่งลมไว้ในบ้าน

แม้ฝนหยุดแต่แดดไม่ออกก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ได้แต่นั่งคุยกันแก้รำคาญไปเท่านั้น...

พอดีเจ๊กเตี้ยมาตั้งหาบที่หน้าบ้านตรงข้ามพอดี!

ลูกค้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยืนเกาะหาบกินก็มี เอาชามมาใส่ไปกินที่บ้านก็มี...ป้ากิมไล้บอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง...สั่งมากินกันเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาล้างชาม!

เสร็พสรรพป้ากิมไล้ก็เรียกเจ๊กเตี้ยมาเก็บเงิน สั่งให้ดิฉันขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ชั้นบน...ดิฉันกลัวเจ๊กเตี้ยจะรอก็วิ่ง ขึ้นบันไดไปทันที ก่อนจะหยุดชะงักที่กลางห้อง

กลิ่นควันธูปลอยกรุ่นมากระทบจมูก อากาศเย็นเฉียบจนดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ที่ท้ายทอย หันขวับไปเงยหน้ามองรูปเตี่ยป้ากิมไล้บนหิ้งข้างฝาเหมือนมีอะไรดลใจ...ผงะ หน้าด้วยความตกตะลึงในพริบตานั่นเอง

คุณพระช่วย!ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที!

ใบหน้าผอมซูบคล้ายมีแต่กระดูกในรูปนั้นเคยเห็นแต่หน้าตรง บัดนี้กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนคนที่มีชีวิตจิตใจ ...หันมามองดิฉันช้าๆ นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งจนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าด้านข้าง ปากที่คลุมด้วยหนวดดกหนาอ้าเผยอส่งเสียงออกมาว่า...เข้ามาในห้องข้าทำไม?

ดิฉันกรีดร้องเหมือนคนบ้า รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนออกจากห้องลงบันได แทบจะชนกับป้ากิมไล้ที่วิ่งมาดู...ดิฉันโผเข้ากอดป้าแล้วร้องไห้โฮ... เพิ่งรู้ว่าวันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นวันปล่อยผีค่ะ!

วิญญาณร้องไห้

ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ชื่อโก้ อายุเกือบสี่สิบปีแล้วละครับ พี่โก้เป็นช่างอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์ย่านรองเมือง มีครอบครัวน่ารักคือ พี่ดาว และลูกชายวัยสิบกว่าขวบอีกสองคน ดูๆ แล้วไม่ว่าใครก็บอกว่าพี่โก้มีชีวิตที่ "ลงตัว" ทั้งนั้น

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนเสเพลเรื่องอื่นๆ แต่พี่โก้ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่เป็นคนดื่มเหล้าจัด ชอบเฮฮากับเพื่อนฝูงเป็นประจำ บางทีก็ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะขับรถมาถึงบ้านที่สามแยกเตาปูน

บางทีวันเสาร์-อาทิตย์ ที่พี่โก้เคยบอกใครๆ ว่าจะยกให้เป็นวันของครอบครัวไม่ยอมออกไปดื่มเหล้าที่ไหนเด็ดขาด ถึงพี่โก้จะรักษาคำพูดแค่ไหนก็เถอะเอ้า แต่ส่วนมากมักจะมีมารผจญ...เอ๊ย! มีเพื่อนฝูงมาหา หอบเหล้าหอบกับแกล้มมาตั้งวงที่บ้านแกจนได้

เรื่องนี้ผมเห็นใจพี่โก้ครับ โธ่! เพื่อนฝูงอุตส่าห์มาหาถึงบ้านทั้งที ไม่รักใคร่กันจริงไม่นัดหมายกันมาหาหรอก พี่ดาวเคยบอกกับพ่อแม่ผมว่า ถือคติโบราณ...ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ! กับยอมรับว่าเพื่อนๆ พี่โก้นิสัยดีกันทุกคน ไม่หยาบคายหรือทะลึ่งตึงตัง เมามายแค่ไหนก็ไม่เอะอะโวยวาย มีแต่จะพูดคุยกันสนุกสนาน ประเภทกินสลึงเมาบาทไม่มี

พี่โก้เองดูๆ ก็เป็นคนน่าแปลกสำหรับพวกเพื่อนบ้านเช่นกัน!

นั่นคือ เป็นคนหน้าตาปี หุ่นสูงโปร่ง ไม่มีลักษณะว่าหน้าฉุ พุงป่อง แถมมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ไม่ว่าใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น...หลายๆ คนยังเคยออกปากว่า กินเหล้าเหมือนกินน้ำ ทำไมรักษาร่างกายได้ดียิ่งกว่าคนวัยเดียวที่ไม่ได้แตะต้องเครื่องดองของเมาซะด้วยซ้ำไป

ที่น่าแปลกอย่างต่อมาก็คือ พี่โก้ดื่มหนักมาราวสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งมากและน้อยแม้แต่ครั้งเดียว! ข้อสำคัญก็คือ...พี่โก้อดเหล้าเข้าพรรษาทุกปี!

อดจริงๆ จังๆ เคร่งครัดและใจคอเข้มแข็งขนาดที่ไม่ยอมแตะต้องเลย เพื่อนฝูงที่เมาตลอดปีตลอดชาติเคยหิ้วเหล้ามาโจ้ที่บ้าน พี่โก้กับพี่ดาวก็ต้อนรับขับสู้ ไม่ว่าเหล้า โซดา หรือกับแกล้มไม่ขาดตกบกพร่อง ใครอยากดวดดื่มเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย ส่วนพี่โก้ไม่แตะต้องเด็ดขาด...จนกว่าจะออกพรรษา

ตอนแรกๆ เพื่อนฝูงก็คะยั้นคะยอ ยั่วเย้าว่าอย่ามัวแต่ดื่มน้ำส้มน้ำหวานอยู่เลย เดี๋ยวก็เมาสลบ...เอาเหล้าซักแก้วสองแก้วดีกว่า แต่พี่โก้หัวเราะส่ายหน้าลูกเดียว พวกเพื่อนๆ เห็นว่าไร้ผลก็เลิกตื๊ออีกต่อไป

พวกที่อดเหล้าเข้าพรรษาจะน่ากลัวก็ตอนก่อนเข้าพรรษากับออกพรรษา เพราะจะดื่มเหล้ากันหัวราน้ำ ก่อนจะอดเหล้าเรียกว่า "ปิดก๊อก" ผ่านสามเดือนเริ่มดวดเหล้าใหม่เรียกว่า "เปิดก๊อก" หลายคนดื่มหนักชนิดไม่ยับยั้ง ถูกหามเข้าโรงพยาบาลไปหลายราย บางคนดวงขาดถึงกับตายคาขวดก็มี!

เหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นตอนจะเข้าพรรษานี่เองครับ!

พี่โก้กับเพื่อนที่ "บวชเหล้า" สามเดือนตรงกัน กระทำพิธีปิดก๊อกล่วงหน้าขนานใหญ่มาราวสิบวันได้ ถึงจะขับรถกลับบ้านดึกหน่อยก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ บางคืนกลับมาแล้วก็เปิดเหล้าบรรเลงน้ำเมาคนเดียวจนฟุบคาโต๊ะไปเลย

คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายแล้ว...ราวห้าทุ่มเศษฝนกำลังตกพรำๆ ก็เกิดเสียงโครมสนั่นกลางซอย เล่นเอาชาวบ้านแตกตื่นกันออกไปดู...ภาพที่เห็นคือรถยนต์ของพี่โก้ชนเสาไฟฟ้าพังยับเยิน ตัวเองออกจากรถมาอาเจียนโอ๊กอ๊าก...เดินโซซัดโซเซพลางคายของเก่าน่าขนลุก มุ่งหน้าไปบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก...พี่ดาววิ่งลงมาเปิดประตูก็พอดีพี่โก้ฟุบฮวบลงสิ้นใจตาย!

ไม่มีใครรู้แน่ว่าพี่โก้ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือเพราะดื่มเหล้ามากเกินไป?

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ หลังจากเผาศพแกที่วัดเซิงหวายไปได้สามคืน...วิญญาณของพี่โก้ก็มาปรากฏที่แดนตายของแกทันที!

ตอนดึกๆ ได้ยินเสียงหมาหอนโจ๋วมาจากปากซอย บางคนนึกถึงพี่โจ้ก็ขนลุกซ่า บางคนก็ยืนยันว่าแว่วเสียงรถยนต์ของแกแล่นเข้าซอยมาช้าๆ แต่ที่ชาวบ้านหลายคนได้ยินตรงกันก็คือเสียงอาเจียนโอ๊กอ๊ากน่ากลัว ตอนแรกๆ ยังมีคนพาซื่อคิดว่าใครในซอยเมามายขนาดหนักเพิ่งจะตุปัดตุเป๋กลับบ้าน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงพี่ดาวร้องกรี๊ดๆ อยู่ที่หน้าต่างชั้นบน ครั้นลุกไปชะโงกหน้าดูก็เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนเกาะรั้วเงยหน้ามอง...หน้าตาซีดเซียวของพี่โจ้นั่นเองที่ขาวซีดอยู่ในแสงไฟ ดูเหมือนจะมีน้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาว

เสียงหมาหอนโหยหวนน่าสยองขวัญ แต่ภาพใบหน้านั้นก็ทำให้หัวใจตีบตื้นด้วยความเวทนา หลุดปากออกมาว่า...โธ่! พี่โก้...ไม่น่าเลย...

ลมเย็นเฉียบกระโชกวูบ พัดร่างนั้นให้วูบวับดับหาย...เหลือแต่เสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ทรมาน ก่อนจะจางหายไปกับสายลม...

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

อย่าท้าทาย!!

คำเตือน//ระวังไว้ก่อนที่คุนจะพูดอะไรเรื่องนี้ปนเรื่องจากนักศึกษาคนหนึ่ง..................

สวัสดี ค่ะดิฉันเป็นนักศึกษาปี 1 ในมหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ที่จะเล่าให้พี่ๆฟังไม่ใช่ ประสปการณ์ในมหาลัยนะค่ะ
แต่เป็นประสปการณืตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่จังหวัด นครสวรรร์

บ้านดิฉันอยู่ที่จังหวัดเพชรบรณ์ ดิฉันเลยต้องมาอยู่หอพัก
หอพัก ที่ดิฉันอยู่เป็นหอพักสตรี จึงทำให้ดิฉันมีแต่เพื่อนๆผู้หญิงเป็ฯส่วนใหญ่ ส่วนตัว ดิฉันเองมีนิสัยที่ชอบทำอะไรแบบสนุกไปวันๆ

แล้วภาษาที่เพื่อนๆเรียก คือชอบ(แวกกฏ) ของหอพักเป็นประจำ
หนีเที่ยวไปเดินห้าง ไปตามเทศกาล ที่จังหวัดเขาจัดขึ้น
ซึ่งหอพักมีกฏระเบีนบให้นักเรียนเข้าหอพักห้ามเกินเวลา 18.00 น.
แต่ดิฉันก็ไปกับเพื่อนที่หอแล้วกลับเกินเวลาอยู่ประจำ
แต่ผู้ดูแล หอพักก็เอาผิดดิฉันไม่ได้ เพราะดิฉันจะเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งจนผู้ดูแลตั้งชื่อ ดิฉันว่า ปลาไหล

และแล้วก็มาถึงวันเกิดเหตุที่ดิฉันไม่มีวันลืมเลย

หลังจาก การเรียนของวันสิ้นเดือนจบลง เจ้าของหอพักให้ดิฉันแล้วเพื่อนพาน้องๆ ไปตัดผมเพราะว่าพรุ่งนี้อาจารย์จะตรวจ
พอทุกคนตัดผมเสร็จแล้วก็ประมาณ เวลา 19.30 น. เป็นเวลาที่รถประจำทางที่ผ่านหน้าหอพักหมดพอดี

ดิฉันจึง เหมารถจากทางอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านหลังหอพัก
แล้วทางรถผ่านทาง เดียวคือทางวัดซึ่งติดกับหอพัก แล้วทางเข้าหอพักเป็นทางแคบๆแล้วมึดมาก ซึ่งรถที่เราเหมามาเขาไม่เข้าไปส่งเราต้องเดินเข้าประมาณ 100 เมตร

ขณะที่เราผ่านวัดวันนั้นมีงานศพที่กำลังเตรียมตัวจะสวดอภิธรรมตามประเพณี ความนึกสนุกของดิฉันก็เกิดขึ้นดิฉันได้ร้องทักเจ้าของงาน คือคนที่นอนในโรงสี่เหลี่ยมนั้น ว่า สวัสดีค่ะ แล้วยกมือไหว้

หลังจากนั้นเพื่อนๆได้ร้องทักว่าอย่า พูดแบบนี้เดี๋ยวเขาก็ตามมาหรอก แต่ดิฉันไม่ฟังแล้วยิ่งสนุกไปกันใหญ่ เพราะ รถที่นั่งมาเป็นใจดับไฟทำให้ที่รถมึดมาก แล้วทุกคนก็ กรีดกันเสียงดังมาก ดิฉันหัวเราะดังลั่น แล้วพอรถจอดที่เราต้องเดินไปมีคนเล่นผีถ้วยแก้วอยู่

ดิฉันก็ ร้องทักว่าเล่นไม่ชวนเลยนะแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนพากันว่าฉัน ว่าเดี๋ยวก็เจอดีหรอก แต่ดิฉันยังไม่เลิกสนุก ดิฉันวิ่งก่อนใครแล้วบอกว่ามีใครก็ไม่รู้อยู่บนกำแพงวัด

เพื่อนๆพากันร้องกรีด แต่ดิฉันหัวเราะชอบใจ แล้วพอเราเข้าถึงที่ หอพัก ต่างก็พากันแยกยายไปอาบน้ำดิฉันก็ไปอาบน้ำเช่นกัน
แต่ห้องที่ดิฉันจะอาบมีคนอาบอยู่ดิฉันจึงต้องต่อคิว จึงเอาพาเช็ดตัวพาดไว้ที่ขอบห้องน้ำ

แต่พอดิฉันเงยหน้าขึ้นไปจะพาดผ้าสิ่งที่ฉันห็นคือ ภาพผู้ชายมองลงมาที่ฉัน แล้วยิ้ม หลังคาห้องน้ำจะมีกระเบื่องใสอยู่แผ่นหนึ่งจึงทำให้ฉันเห็นชัดขึ้น ดิฉันร้องกรีดอย่างดังแล้วตัวสั่นมาก

เพื่อนสนิทฉันมากอดฉันไว้แน่นแล้วร้องไห้ พอเพื่อนดิฉันสวดมนต์ดิฉันก็หายตกใจแล้วเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนๆจึงไปขอธูป ผู้ดูแลหอพักมาให้ไหว้พระแล้วขออโหสิกรรมให้กับศพที่วัด แล้วคนที่เล่นผีถ้วยแก้วก็ด้วย

แล้ววันรุ่งขึ้น เพื่อนดิฉันพาดิฉันไปที่วัดที่งานศพนั้น ดิฉันตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคืองานศพของผู้ชาย แล้วหน้าตายังคล้ายกับที่ดิฉันเห็นเมื่อคืน ดิฉันถามคนที่มางานบอกว่าเป็นศพที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง

ทำให้ดิฉันช๊อกไปชั่วขณะแล้วดิฉันก็ได้ไหว้ศพเพื่อขออโหสิกรรม
ต่อจากนั้น มาดิฉันไม่เคยทักอะไรหรือเล่นอะไรแบบนี้อีกเลย

ซอยเทเวศร์1

ปวัตต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่พระยา บริษัทประกันภัยที่ผมทำงาน อยู่แถวสี่พระยานี่เองครับ ความเจริญไม่ต้องพูดถึงก็ได้

เพราะ เป็นย่านธุรกิจการค้าที่ใหญ่เป็นอันต้นๆ ของกรุงเทพฯ มาหลายสิบปีแล้ว ตอนเที่ยงๆ พนักงานบริษัทและห้างร้านกรูเกรียวกันออกไปหามื้อเที่ยงกิน มองจากตึกสูงๆ เห็นแต่หัวดำๆ เหมือนมดเหมือนปลวกไม่มีผิด

เฉพาะบริษัทผมแห่งเดียวก็ปาเข้าไปตั้งเกือบ 100 คน! เมื่อราว 2-3 ปีก่อน เกิดเรื่องสยองติดๆ กัน คือพนักงานสาวกินยาตายในห้องน้ำ สาเหตุจากปัญหาท้องไม่มีพ่อ กับอกหักกระโดดตึกที่หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่า "โหม่งโลก" ฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ ตึกสูงสิบกว่าชั้นจะไปมีอะไรเหลือล่ะ?

"พี่แอ๋ว" ผู้ช่วยฝ่ายการเงินไปเข้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหมดสติ กว่าจะมีคนไปพบและนำส่งโรงพยาบาล พี่แอ๋วก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นชีวิต

เพิ่งจะเผาศพเธอไปหยกๆ "น้องหมวย" สาวสวยประจำแผนก บริการลูกค้า เพิ่งจะออกจากห้องน้ำมาหยกๆ กลับมานั่งโต๊ะเดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัว ก่อนจะล้มฮวบลงบนพื้น มือหนึ่งตะกายเก้าอี้ ที่ลูกล้อมันลื่นหนีไปเรื่อยๆ พอเพื่อนๆ วิ่งมาดูก็แตกตื่นร้องวี้ดว้ายไปตามๆ กัน

น้องหมวยเอียงหน้าซบกับท่อนแขน ปากอ้า นัยน์ตาลืมค้าง...เบิกโพลงเหมือนมองเห็นภาพที่สยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ! ชั่วเวลาเดือนเศษๆ มีทั้งฆ่าตัวตาย 2 ราย กับตายด้วยอุบัติเหตุ รวมทั้งหัวใจวายอย่างละ 1 ราย...ปาเข้าไปตั้ง 4 ศพ จะไม่ให้คนขวัญอ่อนกลัวผีได้ยังไง?

พนักงานส่วนมากมักหน้าตาไม่ ค่อยเสบยนัก ดูซีดๆ เซียวๆ ยังไงชอบกล มักจะเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยอาการหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา เรียกว่าแทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็คงจะไม่ผิดนัก

มีเสียงซุบซิบว่าเจ้าที่แรงบ้าง ผีดุบ้าง เมื่อราว 3 ปีกว่าๆ มาแล้วเคยมีคนงานเช็ดกระจกพลัดหล่นลงไปคอหักตาย เชื่อว่าวิญญาณที่เจ็บปวดคงจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณดุร้าย เฮี้ยนจัด ตามรังควานคนชะตาขาดเพื่อเอาไปอยู่เมืองผีติดๆ กันถึง 4 คน จนอกสั่นขวัญหายกันไปทั้งบริษัท

พอจะซาไปหน่อย อ้าว? น้าติ๋ม-แม่บ้านประจำชั้นเราเกิดเป็นลมตายในห้องพักขึ้นมาดื้อๆ ห้องที่ว่าจะเรียกกันว่า "ห้องกาแฟ" คือมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ชั้นวางขวดเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน

น้ำตาล และคอฟฟี่เมต สำหรับบริการพนักงานอาวุโสกับแขกเหรื่อที่มาติดต่อธุรกิจแทบทั้งวัน มีโต๊ะอาหารเล็กๆ กับเตียงเตี้ยๆ สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ไม่ถึงกับเอนหลังหรอกครับ เพราะมีแขกมากหน้าหลายตาจนน้าติ๋ม กับผู้ช่วยชื่อพี่แป้งไม่ค่อยมีเวลาหยุดหย่อนเท่าไรนัก

วันเกิดเหตุ มีลูกค้ามาติดต่อเรื่องเคลมประกันตอนใกล้งานเลิกพอดี พี่แป้งเล่าว่าน้าติ๋มชงกาแฟสองที่ วางซองน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตไว้ที่จานรองเรียบร้อย แล้วส่งให้เธอเอาไปบริการที่ห้องลุงอรรถ-หัวหน้าแผนก แต่พอกลับมาก็เห็นน้าติ๋มนอนหลับตา

เอียงหน้านิดๆ ปากอ้าเผยอเหมือนคนนอนหลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกมาหยกๆ นี่เอง น้าติ๋มตายแล้ว! พี่แป้งวิ่งออกจากห้องกาแฟมาร้องไห้โฮจนพวกเราลุกพรวด ผมวิ่งไปดูก็เห็นน้าติ๋มสิ้นลมไปแล้วจริงๆ พวกผู้หญิงที่ตามหลังมาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งต้องไล่กลับไปที่โต๊ะหมด ทุกคน

บ้างก็ว่าน้าติ๋มเป็นลมตาย บ้างก็ว่าโรคหัวใจกำเริบ และบ้างก็ว่าโดนผีหลอก!! พี่แป้งไม่กล้าทำงานต่อ จะลาออกท่าเดียว หัวหน้าต้องเรียกน้าแหม่มจากชั้นบนลงมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน

พี่แป้งยังไม่วายขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตามน้าแหม่มแจ...ขนาดจะเข้าห้องน้ำพี่แป้งยังต้องขอให้น้าแหม่มอยู่หน้าห้องเลยครับ

เวลาผ่านไปเกือบเดือน พวกเรากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็พอดีมีลูกค้าเก่ามาหาลุงอรรถ ดูเหมือนจะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เลขาฯ หน้าห้องก็บอกไปทางน้าแหม่ม พี่แป้งที่อยู่ใกล้ๆ

ก็กุลีกุจอหยิบ น้ำตาลกับคอฟฟี่เมตมาใส่จานรองเตรียมพร้อม น้าแหม่มหันมายื่นถ้วยกาแฟให้...แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของน้าติ๋ม ที่ตายไปแล้วชัดๆ โลกของพี่แป้งแตกกระจายในพริบตานั่นเอง

เสียงร้องกรี๊ดๆ เหมือนเกิดไฟไหม้ พวกเราเห็นพี่แป้งร้องไห้โฮ นัยน์ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นภาษานอกจากชี้ไม้ชี้มือไปข้างหลัง ได้ยินแต่ว่า...น้าติ๋ม! ผีน้าติ๋ม!

โอย... พี่แป้งลาออกไปแล้ว ไม่ว่าใครจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันแต่ว่า...ตกงานยังดีกว่าโดนผีหลอกจนช็อกตาย!

แท็กซี่ ผีดุ!!

ผมอยู่แถวซอยร่วมจิตต์ใกล้ๆ ศรีย่านนี่เองครับ วันดีคืนร้ายก็ไปเที่ยวถนนข้าวสารกับเพื่อนเกลอคือเจ้าอู๋ อยู่บ้านติดๆ กัน โดยขึ้นรถเมล์สาย 9 ไปลงบางลำพูพอดี

วันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถนนข้าวสารคึ่กๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ล้วนแต่ได้ยินชื่อถนนข้าวสารอันโด่งดังระดับโลกมาหลายปีแล้ว เลยแห่มาเที่ยวกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะพวกฝรั่งนี่หลายรายถึงกับหอบลูกจูงหลานมาเที่ยว ขนาดลูกเล็กๆ ใส่รถเข็นยังมีนี่นา

ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตาของพวกเราก็คือฝรั่งแก่ๆ ขนาด 60-70 ปีขึ้นไปยังอุตส่าห์หอบสังขารมาเที่ยวถนนชื่อกระฉ่อนกับเขาเหมือนกัน เหลือเชื่อจริงๆ เอ้า!

คนพวกนี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่มยังสาว เพื่อเก็บเงินเก็บทองเอาไว้เดินทางไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาต่างแดน ตรงข้ามกับพวกเราที่แก่ตัวเข้าก็มักอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เข้าวัดเข้าวาไปเลย

โธ่! แก่ตัวเข้าเรี่ยวแรงก็ถดถอย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หอบแฮกแล้ว ผมว่าสู้ไปเที่ยวตอนที่ยังสาวหนุ่มกระชุ่ม กระชวย เรี่ยวแรงแข็งขันยังจะเข้าท่ากว่าเป็นกอง

อย่างว่าละครับ วัฒนธรรมของใครของมัน ไม่ว่ากันอยู่แล้วงานนี้จะหนุ่มสาวหรือเฒ่าแก่ก็ขอให้มาเที่ยวสยามเมืองยิ้มกันเยอะๆ ก็แล้วกัน เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ผู้คนจะได้มีงานบริการทำเยอะๆ พ่อค้าแม่ขายก็จะได้ซื้อง่ายขายคล่อง คนยากคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากซะที...เศรษฐกิจตกสะเก็ดมาหลายปีแล้วครับ

การท่องเที่ยวถือว่าไม่ต้องลงทุนลงรอนอันใด รับเนื้อๆ ลูกเดียวเท่านั้น!

อ้าว? ผมก็เผลอไผลติดลมบนไปหน่อย เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกจนได้

บรรยากาศที่ถนนข้าวสารจะสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลาก็ได้นะครับ...เรื่องมาเกิดเอาอีตอนที่ผมกับเจ้าอู๋ออกจากร้านเบียร์ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตปาธตอนห้าทุ่มกว่า...เลยไปออกทางด้านใกล้ๆ สี่แยกคอกวัวเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้าน เพราะเรากำลังเมาฉ่ำๆ กันทั้งคู่

เชื่อไหมครับว่าแท็กซี่ 5-6 คันที่เปิดไฟสว่าง เลี้ยวจากถนนราชดำเนินมาจอดน่ะ ไม่มีใครยอมรับเราซักคัน!

...พอเปิดประตูหลังเท่านั้น คนขับก็หันมาถามทันทีว่าจะไปไหน? พอบอกจุดหมายก็ส่ายหน้า ออกรถไปทันที! บางคันที่เราเปิดประตูหน้าถามว่าจะไปมั้ย? ก็หันมองด้วยสายตารำคาญ บอกว่าไม่ไป! เจ้าอู๋ชักยัวะเลยถามว่าพี่จะไปทางไหนล่ะ? คนขับก็ยืนยันว่าไม่ไป...ก่อนจะแล่นพรวดออกไปเลย

"มึงจะรับแต่ฝรั่งหรือไงวะ?" เจ้าอู๋ตะโกนตามหลัง... แท็กซี่ที่ขับเลยไปก็คงผ่านถนนสิบสามห้างที่ไม่มีฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวอะไร...คงจะหาทางวกมาล่าเหยื่อรอบ ใหม่

ได้ข่าวว่าตำรวจสน.ชนะสงคราม งานหนักจนประสาทกินไปหลายนายแล้ว ไม่ลองแต่งนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์มั่งนี่ครับ...อย่าลืมว่าที่แท็กซี่ไม่อยากรับคนไทยก็มีสาเหตุเดียวคือ...ไม่ได้โขกเงินชนิดขูดรีดเหมือนผู้โดยสารฝรั่ง

ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวก็อย่าทำลายเลยครับ!

ในที่สุดก็มีแท็กซี่เปิดไฟว่างแล่นเข้ามา เจ้าอู๋โบกมือให้จอดก่อนจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งทันทีพร้อมกับบอกจุดหมาย ผมก้าวตามเพื่อนไปติดๆ นั่งรอจะว่าโดนบอกปัดท่าไหน? ยอมรับว่ากำลังเดือดปุดๆ จนแทบหายมึนเบียร์ละครับ แต่ผิดหวังแฮะ...แท็กซี่รับคำแล้วออกรถไปเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ เจ้าอู๋บ่นดังๆ ว่าแท็กซี่คันอื่นไม่รู้เป็นไง ไม่ยอมรับเราซักคัน

เสียงหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดีดังขึ้น ผมเหลือบดูก็เห็นคนขับเป็นชายชราผมขาวค่อนข้างยาว มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ ขณะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกวันชาติ แล่นไปตามถนนประชาธิป ไตยที่รถราค่อนข้างโล่งว่าง...ไม่ช้าก็เข้าสู่ถนนนครราชสีมาอย่างรวดเร็ว...

จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผมเห็นมิเตอร์ขึ้นเกือบ 70 บาท แต่นึกถึงน้ำใจแกที่ไม่เห็นแก่ตัว บอกปัดผู้โดยสารคนไทยด้วยกัน เลยส่งแบงก์ร้อยให้...บอกไม่ต้องทอน ได้ยินเสียงขอบคุณครับเบาๆ ก่อนที่เราจะลงจากรถ...แล้วต้องยืนตะลึงงันกันทั้งคู่

ท่ามกลางแสงไฟถนนเยือกเย็น แท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางสี่แยกพิชัย...แล้วเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเรานั่นเอง...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมกับเจ้าอู๋ขนหัวลุกทุกทีไป!

อาถรรพ์ 5โมงเย็น

เรื่องราวต่อไปนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอุปา ทาน หรือผู้เล่าได้ก้าวล่วงเข้าไปในมิติมรณะจริงๆ กันแน่ แต่ฟังแล้วดิฉันก็สยองและขนลุกไปหมดเลยค่ะ

นิติพรเป็นเพื่อนรักของดิฉันตั้งแต่ตอนที่เราเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน นั่นน่ะยี่สิบปีมาแล้วนะ ทุกวันนี้เราอายุต้นสี่สิบ ลูกๆ เรียนมัธยม เราลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวตั้งนานแล้วละ แต่ขอโทษเถอะ..เราไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆ หรือเที่ยวลอยชายไปวันๆ อย่างที่หลายคนค่อนแคะหรอกนะคะ..ลองลาออกจากงานมาทำงานบ้านอย่างเราแล้วจะรู้สึก!

เรารับภาระเต็มสองบ่า สองอุ้งมือ ไหนจะรับส่งลูก ดูแลบ้านช่อง ช่วยลูกทำรายงาน ตอนเย็นซื้อกับข้าวทำกับข้าว ตอนค่ำเก็บกวาด ล้าง เพื่อตื่นมาตอนเช้าก็ทำแบบนี้..แบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ

วันหนึ่งดิฉันได้ข่าวว่านิติพรไม่สบาย เธอเป็นโรคลึกลับ หมอหาสาเหตุไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้นะคะ..

จู่ๆ เธอก็ปวดเอว ปวดมาก แล้วก็แข็งไปทั้งตัว เดินลำบาก ยกมือตีไข่ก็ยาก เธอบ่นว่ากิจวัตรประจำวันอย่างล้างหน้า สีฟัน กลายเป็นงานหนักเพราะมือแข็ง รู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วง อาบน้ำใส่เสื้อผ้าก็เหนื่อยแทบแย่ และอ่อนเพลียมาก หาวทั้งวัน อยากจะหลับท่าเดียว เธอไปพบแพทย์มาเป็นเดือนแล้วค่ะ

หมอสั่งแต่เจาะเลือดหาสาเหตุอยู่นั่นแหละ พรุนไปหมดแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ยาก็ไม่ได้กิน!

ดิฉันไปหาเธอในตอนสายๆ ของวันหนึ่งหลังจากส่งลูกๆ ไปโรงเรียน เห็นสภาพเธอแล้วน่าเวทนา..ตัวบวมฉุ เดินย่องแย่งเหมือนหุ่นยนต์ตัวแข็งๆ หน้าบวม ตาบวม มีน้ำตาคลอตลอดเวลา

"นี่แน่ะไก่ ฉันมีเรื่องแปลกจะเล่าให้ฟัง" เธอพูดกับดิฉันด้วยเสียงแปร่งปร่า เล่าว่าเมื่อ 2-3 วันก่อนเธอง่วงมากในตอนเย็น แต่ไม่อยากนอน เพราะผู้ใหญ่สอนว่าตะวันจะทับตา นอนตอนพลบค่ำน่ะไม่ดี

"แต่มันฝืนไม่ไหวเลยนะ" เธอบอก "ฉันเลยบอกลูกๆ ที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนว่าให้ไปซื้อของที่ตลาดมากินเอง ลูกๆ ก็มารับเงินไปแล้วฉันก็เข้าห้องเปิดแอร์นอนห่มผ้า"

ตอนนั้นเป็นเวลาก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย เธอหลับตาแต่ใจคอมันอึดอัดไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะกังวลเรื่องดูแลบ้านช่องหรืออะไรกันแน่?

ขณะเข้าภวังค์เธอรู้สึกเหมือนถูกผีอำ มีเงาวูบวาบคล้ายผีปีศาจมาอยู่รายรอบ มีใครบางคนมาจับตัวเธอยกขึ้นวางบนตั่ง ตัวเธอแข็ง และแล้วก็รู้สึกว่าเธอถูกจับให้นอนหงาย มือขวายื่นออกไปข้างๆ ในท่าเหยียดตรง..มีพานรอง และมีคนแต่งชุดดำยืนเข้าแถวรอรดน้ำ!

"มันครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝืนไม่ได้และสยองมากๆ" นิติพรเช็ดน้ำตา เล่าต่อว่า จากนั้นเธอก็ได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมเอียนๆ และรู้สึกเย็นที่มือที่ยื่นออกไป พวกที่มารดน้ำเธอแทนที่จะร้องไห้กลับหัวเราะคิกคักเหมือนกำลังเล่นสนุก

"พวกเขาตั้งท่าจะยกฉันลงโลงด้วย กลิ่นธูปงี้คลุ้งไปหมด" เธอพูดขณะฉันขนลุกซ่า..

ก่อนที่จะไปไกลกว่านั้น นิติพรก็ดิ้นจนหลุดจากภวังค์ เธอตื่นขึ้นมองรอบๆ นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น เธอตะกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบเปิดไฟสว่างจ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมานั่งใจสั่นระริก

"เข็ดเลยละไก่" เธอเน้นเสียงกับดิฉัน "อย่านอนตอนห้าโมงเย็นเป็นอันขาดเพราะเป็นเวลาที่ตามวัดต่างๆ เตรียมทำพิธีรดน้ำและรอสวดพระอภิธรรม" น่าขนลุกมั้ยคะ?

ฟังแล้วดิฉันกลัวมากๆ เลย ไม่รู้ว่าเธอฝันร้าย อุปาทานหรือเจอของจริง แต่ที่บ้านดิฉันมีสาวใช้ต่างด้าวสองคนชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจ ว่างเป็นมุดเข้าห้องนอนไม่เลือกเวลา

วันไหนที่เจ้าหล่อนนอนตอนห้าโมงเย็น จะหน้าตาหมองคล้ำ มีสภาพเหมือนผีดิบ ยิ่งตอนตื่นมาเก็บกับข้าวราวสองทุ่มน่ะ สภาพหล่อนน่ากลัวจริงๆ ค่ะ..นิติพรยืนยันว่าต่อให้ง่วงแสนง่วงก็จะไม่ยอมนอนตอนห้าโมงเย็นอีกแล้ว ฝืนทนไปนอนตอนสามทุ่มดีที่สุด..เพราะเป็นเวลาที่มนุษย์เป็นๆ เขาเข้านอนกันค่ะ!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

งานนี้ผีมีจริง!!

ดิฉันเชื่อแน่ว่าวิญญาณมีจริง เพราะเคยพบมากับตัวเอง เป็น วิญญาณของพ่อที่ยังห่วงใยครอบครัว ท่านได้มีเยี่ยมเยียนดูดความทุกข์สุข ของคนในบ้าน พ่อดิฉันเสียด้วยโรคชราหรือพิษสุราก็ไม่ทราบแน่ชัด เพราะเมื่อ เรียนจบดิฉันก็เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ

โดยหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านขายเสื้อผ้า เมื่อแม่โทรมาบอกว่าพ่อเสีย ดิฉันก็รับไปจัดงานศพพ่อเพราะฉันเป็นลูกคนโต ส่วนแม่ฉันอายุท่านมากแล้ว อยู่ในอาการเศร้าโศกเพราะเสียพ่อ ดิฉันจึงต้อง จัดการแทนทุกอย่าง เมื่อครบ 7 วัน ฌาปนกิจศพ ก็เรียบร้อย

ฉันจำเป็นต้องอยู่ เป็นเพื่อนแม่ต่อเพื่อไม่ให้แกเหงา แล้วคืนนั้นพ่อก็มาหา ประมาณตี 5 ดิฉันได้ยินเสียงคนชงกาแฟ ในห้องครัว ซึ่งอยู่ติดกับ ห้องนอนของดิฉันจึงลุกออกไปดู เพราะคิดว่าเป็นแม่ แต่ไม่เห็นใคร มีเพียง ถ้วยกาแฟที่ชงแล้วกับกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเท่านั้น ดิฉันจึงชงกาแฟอีกแก้วนั่ง ดื่มจนรุ่งเช้าก็ไม่เห็นมีใครมาดื่มกาแฟถ้วยนั้น รอจนแม่และน้อง ๆ ตื่น

ดิฉันก็ ถามแต่ไม่มีใครรู้เรื่องสักคนว่าใครเป็นชงกาแฟ แม่บอกว่าคงเป็นพ่อ เพราะพ่อเคยตื่นขึ้นมาดื่มกาแฟตอนตี 5 ทุก วันเป็นประจำ น้องชายคนรองบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาเป็นหมอทหาร เขา จึงไม่เชื่อ

คืนต่อมาดิฉันฝันว่า พ่อมาหาบอกว่า ให้ดิฉันกลับบ้านมาอยู่บ้าน ช่วย ทำงานส่งน้องคนเล็กที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยให้จบ ดิฉันก็รับปาก..มารู้สึกตัว ตื่นอีกทีเมื่อมีเสียงชง กาแฟ ดิฉันพูดออกมาว่า พ่ออย่าเพิ่งไปนะ แล้วก็เปิด ประตูออกไปดู ไม่กลับ แต่ก็ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก สักครู่พ่อก็หายไป

รุ่งเช้า...ดิฉันเล่าเรื่องพ่อมาหาให้แม่ฟัง แม่บอกว่า พ่อมาหาแม่ใน ฝันเหมือนกัน พ่อบอกว่าดิฉันรับปากว่าจะกลับมา อยู่บ้าน ดิฉันขนลุกซู่เลยค่ะ ตั้งแต่นั้นพ่อไม่มาหาดิฉันอีกเลย สงสัยว่าท่านไปเกิดใหม่แล้ว ถึง กระนั้นดิฉันก็ยังทำบุญกรวดน้ำไปให้เสมอ


ข้อมูลจาก board.narak.com

เหรียญ!!

ผมมีลูกสาวคนเดียว คือ น้องเอื้อง แกเป็นสุดสวาทขาดใจของคนทั้งบ้าน ตอนนี้อายุ 4 ขวบกว่า อยู่อนุบาลสองครับ ผมวางแผนชีวิตสำหรับลูกคนนี้ เพื่อให้แกเติบโตอย่างเข้มแข็ง และนั่นอาจจะเป็นต้นเหตุของขนหัวลุกเรื่องนี้ก็ได้

มันเริ่มตั้งแต่ตอนผมหมั้นกับอ้อย และร่วมทุนกันปลูกเรือนหอของเรา ผมคิดไว้เลยว่าจะมีลูกไม่เกินสองคนชั้นบนของเราจึงมีห้องนอนสามห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวเสร็จ ห้องตรงกลางน่ะของผมกับภรรยา อีกสองห้องนั้น...แน่ละ! เตรียมไว้สำหรับเป็นส่วนตัวของลูก และผมยังยึดตำราฝรั่ง คือให้ลูกนอนคนเดียวตั้งแต่เกิด แต่ประตูห้องเปิดถึงลูกได้ทั้งสองด้าน

ต้องขอบอกตรงๆ ว่าแผนนี้เกือบไม่สำเร็จแน่ะครับ มันยากมาก โดยเฉพาะอ้อยแทบไม่ยอมวางมือจากลูกเลย แต่ในที่สุดเราก็ทำได้ครับ

น้องเอื้องนอนคนเดียวได้สบายมาก ดับไฟมืดเลยด้วย ไม่ต้องเปิดไฟหัวเตียง ขอแต่เพียงแง้มประตูพ่อกับแม่ไว้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง และขอให้เล่านิทานก่อนนอนกับหอมแก้มบอกกู๊ดไนต์ ฝันดีทุกคืน ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง พายุพัดตึงตังแค่ไหนเอื้องก็นอนได้ ไม่เคยลุกมาขอนอนกับพ่อแม่เลย เก่งจริงๆ ลูกผม

แต่แล้วคืนหนึ่งเมื่อเดือนก่อน ตอนกลางดึกผมตื่นเพราะเอื้องมาจับแขนเขย่าเบาๆ

"พ่อคะ ขอเอื้องนอนด้วยนะ ที่ห้องเอื้องมีใครไม่รู้จะขึ้นมานอนเบียดเอื้องเรื่อยเลย"

"ฝันร้ายมั้งลูก?" ผมบอกแล้วลุกขึ้นพาลูกกลับไปที่ห้อง เปิดไฟหัวเตียง ทุกอย่างดูปกติดี เอื้องขยี้ตา ทำท่างัวเงียแล้วออดอ้อน...แกบอกว่าใครคนนั้นผลักแกตกเตียงจนนอนไม่ได้ ผมไม่อยากใจอ่อนหรอกครับ เพราะเมื่อมีครั้งแรกมันก็ต้องมีครั้งต่อไป แต่มองนาฬิกามันตีสองครึ่งแล‰ว ผมเองก็ง่วงเหมือนกัน

ขืนเถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมเลยเอาแกมานอนตรงกลาง อ้อยดีใจกว่าลูกอีก นอนกอดนอนหอมลูกจนหลับสนิทไปทั้งคู่

คืนต่อมา ผมว่าแล้ว เดาอะไรไม่ผิดเลย! เอื้องมาปลุกผมเวลาเดิมเลยครับ บอกว่าใครคนนั้นมากวนแกอีกแล้ว

"เขาเป็นผู้ชาย มาทำหน้าตาน่ากลัวไล่เอื้องลงจากเตียง" แกพูดซื่อๆ ผมเห็นว่า นั่นคือจินตนาการของเด็กน้อย ซึ่งผมจะยอมต่อไปไม่ได้ ต้องแก้ไขด่วน

"เอางี้นะ" ผมเล่นแง่จิตวิทยา "พ่อจะไปไล่เขาเอง ถ้าพ่อไล่เขาไปแล้วเอื้องจะนอนคนเดียวได้มั้ยลูก?" เอื้องพยักหน้ารับอย่างดีใจ

คืนนั้นผมไปนอนเตียงของลูก ไม่ต้องห่วงครับ เตียงนี้ผมซื้อเผื่อลูกโตเลยละ เป็นเตียงเดี่ยวที่ผู้ใหญ่นอนได้สบายๆ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แค่พรุ่งนี้เช้าก็จะบอกลูกว่าพ่อไล่เขาเตลิดเปิดเปิงไปแล้วล่ะ! แค่นี้ก็เรียบร้อย...แต่มันไม่อย่างนั้นน่ะซีครับ!

ก่อนตีสองเล็กน้อย ผมตื่นขึ้นมา ไม่รู้ด้วยซ้ำอะไรทำให้ตื่น แต่ก็ดีเหมือนกัน ลุกเข้าห้องน้ำซะหน่อยแล้วกลับมานอนต่อ.....ผมเข้าห้องน้ำโดยไม่เปิดไฟ อาศัยความคุ้นชิน

ขณะที่มาถึงเตียง ล้มตัวลงหนุนหมอน หางตาผมเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ผมเลยหันไปมองตรงๆ

มันเป็นแสงหม่นๆ รางๆ มัวซัวสีออกเขียวๆ เหมือนพรายน้ำดวงเท่าฝ่ามือเคลื่อนไหวอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าเหมือนมีชีวิต ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาด แต่ไม่ใช่แฮะ รีบลุกขึ้นนั่งจ้องมองมันพักใหญ่ แล้วก็ต้องขนหัวลุกซู่...

ภายในแสงนั้นเป็นใบหน้าผู้ชายแก่ๆ เหมือนคนจีน โบราณ ไว้เปียและเป็นใบหน้าที่ดุดัน มุ่งร้ายหมายขวัญมาก

"ออกไปนะ" ผมคำรามเบาๆ ทั้งตกใจทั้งกลัว แต่นี่มันห้องลูกสาวผมนะ! เอื้องพูดถูก แกไม่ได้ออดอ้อนหรือจินตนาการ ผมตั้งสติได้ รู้สึกโกรธเกรี้ยวมากกว่าหวาดกลัวซะอีก นี่ถ้าเป็นที่อื่นอย่างโรงแรมหรือบ้านเช่าผมต‰องเผ่นแน่...แต่นี่บ้านผมครับ!

ใบหน้ามีแสงหม่นๆ นั่นพุ่งเข้าใส่ผม ส่วนผมก็พุ่งหมัดสวนออกไป กำปั้นวืดผ่านสิ่งที่เย็นชืดน่าขยะแขยง...เหลือเชื่อ! ผมชกถูกมันอย่างจัง อย่าถามเลยครับว่าเป็นไปได้ยังไง ผมเองก็งงๆ แต่คิดว่าคงเป็นพลังจิตผมแกร่งกว่ามัน ผมเห็นมันบิดเบี้ยว แสดงอาการพ่ายแพ้..มันกลัว และหายไปทางหน้าต่าง

ผมรู้สึกว่าห้องโล่งเบาและสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาทันที...มันไปแล‰ว!

เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเพื่อนของอ้อยชอบสะสมเหรียญและของโบราณ ก็เลยเอาของเก่าของคุณตาที่เพิ่งเสียมาให้ หนึ่งในนั้นเป็นเบี้ยจีนโบราณ วิญญาณร้ายคงมากับสิ่งนี้แน่ ตอนนี้อ้อยคืนเพื่อนไปแล้วละครับ!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

สาย สยองขวัญ

เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง

อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!

"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"


ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!

"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."

"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

กินเหล้ากับผี

เรื่องมีอยู่ว่าคนเป็นทหารรุ่นพี่ผมเป็นรุ่นน้องค่อนข้างสนิทกันคับ วันนั้นเป็นวันศุกร์คับทุกคนจะกลับวันเสาร์อาทิตย์แต่พี่คนนั้นเค้ากลับช้า เพราะเข้าเวรอยู่คับทุกอาทิตย์ผมจะนอนคนเดียวตลอดคับน่ากลัวมากคับตึก 2 ชั้นนอนคนเดียวแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคับแก

โดนรถเก๋งชนเค้าเต็มๆคับแล้วลากไปไกลประมาณ 10-20เมตรได้คับ แล้วคืนนั้นเค้าก็มาหาเพื่อนๆเค้าที่โรงนอนซึ่งเป็นคืนวันอาทิย์คับทีแกมาหา เพื่อนแกมาแบบวิญญาณคับมาเข่ยาสเตียงคับแต่เพื่อนเค้าก้ไม่รู้เค้าคิดว่าคน อื่นมาแกล้งเลยย้ายเตียงไปนอนกับเพื่อนคับและเช้าจ่าก็มาบอกว่าแบบตายและผม แทบช็อก

ผมลืมบอกไปคับที่แกไม่มาหาผมเพระแกรู่ว่าผมกลัวผีมากคับต่อนะคับ พอแกตายตกตอนเย็นผมก็ไปงานศพแกและพอไปถึงผมก็ตกใจมากคับเพราะแม่เค้าบอกว่า เด๋วไปตามพี่เค้ามาให้งงสิคับตายแล้วหนิและๆๆๆแล้วไปตามใคร

คืองี้คับแกเข้าเมียเป็นซื่อกลางคับแกไปกราบขอเจ้าอาวาสคับฟังแล้วไม่น่า เชื่อใช่มั้ยคับแล้วแกจะให้เห็นฉะเพาะครอบครัวแกคับและตอนนี้แหล่ะคับผมจะ ช็อกตายเอาคับตอนที่นั่งกินข้านเป็นโต๊ะยาวคับ ผมนั่งตรงปลายโลงศพแก

พอดีผมรู่สึกว่ามีคนมาเตะขาเก้าอี้ผมๆเลยด่าเพื่อนว่าเมิงเล่นไรว้ะ เพื่อนบอกกูป่าวผมเลยเขยิบเก้าอี้ออกมาอีกถ้ามันแกล้งอีกผมจะเห็นขามันเต็ม คิดยังไม่จบเท่านั้นแหล่ะคับจานชามกระเด็นไปคนละทางทุกคนตกใจมากผมวิ่งไปหัว โต๊ะหารุ่นพี่อีกคนพอไปถึงปุ๊ปก็มีมือเย็นๆมาจับแล้วพูดว่า ขอโทดคำไม่สุภาพ

มึงกลัวเหี้ยอะไรมึงกลัวกูหรอกูพี่มึงนะโอ้โหแม่เจ้าผมจะช็อกตายพี่แกมาเข้า เมียหลังจากที่เตะเก้าอี้ผมแล้วผมบอกว่าพี่ปล่อยผมนะพี่ผมกลัวรุ่นพี่อีกคน บอกว่าไอ้โอ๋มึงนั่นลงผมชื่อโอ๋คับ แล้วผมก็ใจดีสู้เสือคับแกบอกว่าแกเป็นห่วงผมกลัวคนมารังแกผม

ผมเลยบอกว่าผมจะบาชให้แกดีใจมากคับและผมไม่เคยบวชให้ใครด้วยคับ



เรื่องเล่าจาก shockfmclub.com

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผีวัดสะพาน

" ยอดยิ่ง"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าผีดุ

สมัยหนุ่มผมอยู่มักกะสัน หลังวัดทัศนารุญสุนทริการาม หรือที่ชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไปเรียกว่า "วัดสะพาน" นั่นเอง

วัดนี้เคยได้ชื่อว่าผีดุนักหนา ขึ้นชื่อลือชาไปถึงประตูน้ำ สนามเป้ายันทุ่งพญาไท...ถนนวิภาวดีฯ หรือชื่อเดิมคือซูเปอร์ไฮเวย์เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ตกค่ำก็แทบจะไม่มีรถแล่นให้เห็นเพราะยังเปล่าเปลี่ยวเต็มที ใครอยู่ที่นั่นก็ถือว่าอยู่ชานเมืองแล้ว

นอกจากขึ้นชื่อลือชาว่าผีดุเพราะเป็นวัดเก่าแก่ บ้านเรือนยังไม่คับคั่งเหมือนยุคต่อมา ยังมีคนเล่าว่าเคยเห็นเปรตที่วัดสะพานอีกต่างหาก

จากหมู่บ้านริมถนนราชปรารภเข้าไปถึงป่าช้า จะมองเห็นหลุม ศพระเกะระกะเรียงรายกันหลายสิบหลุม มีป้ายเขียนชื่อ-สกุลเอาไว้ง่ายๆ ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้มบรรยากาศแสนจะเยือกเย็นน่าวังเวงใจแค่ไหนก็คงพอ จะนึกออกนะครับ

มีคนเห็นเปรตเดินโย่งเย่งมาจากป่าช้านั่นแหละ!

เขาว่าได้ยินเสียงหมาหอนเยือกเย็นน่าขนลุก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเห็นผีแน่ๆ ไม่งั้นจะโก่งคอหอนไปหาสวรรค์วิมานอะไร...ขณะที่เดินจ้ำอ้าวจะกลับบ้านตอน ดึก ก็ต้องชะงักกึกด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง...

"ก-รี๊-ดดดด ....ก-รี๊-ดดด..." เสียงแหลมเล็กบาดหู ฟังเผินๆ เหมือนใครเป่านกหวีดมาจากที่สูงๆ เลยเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นอะไร จนกระทั่งเสียงบาดใจนั่นดังขึ้นอีก พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็แทบจะช็อกตายในบัดดล!

อมนุษย์รูปร่างสูงลิ่วเหมือนต้นตาล กำลังเดินโย่งเย่งเข้ามาหา มือทั้งสองข้างใหญ่โตเหมือนใบลาน ร่างกายเปล่าเปลือยดำเกรียม แขนขาลีบเล็กมีแต่หนังหุ้มกระดูก ตาแดงราวแสงไฟ...เห็นปากเล็กแหลมเท่ารูเข็มกำลังกรีดร้องเสียงหวีดแหลม บาดลึกลงไปถึงหัวใจ

อสุรกายผู้เคยก่อกรรมทำเข็ญกับบุพการี ทุบตีและด่าทอพ่อแม่เป็นบาปเวรสาหัส...เมื่อสิ้นใจจึงต้องเกิดมาเป็นเปรตชด ใช้เวรกรรม ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเนิ่นนานจนกว่าจะสิ้นเวร

ผมกับไอ้กล่อมเพื่อนเกลอก็เจอดีเข้าเต็มรักเหมือนกันครับ

ถึงแม้จะไม่เจอเปรตมาส่งเสียงกรี๊ดๆ หวีดหวิวขอส่วนบุญจนอกสั่นขวัญแขวน แต่ผีวัดสะพานก็เล่นงานเราจนไม่กล้าเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนไปเนิ่นนานที เดียวเชียว...

คืนนั้นเดือนเต็มดวงทอแสงสว่างนวล อย่างที่เขาเรียกว่า "สว่างจนแทบจะจับมดได้" นั่นแหละครับ ผมกับไอ้กล่อมบ้านอยู่ใกล้ๆ กันแถวท้ายป่าช้า...แหม! อย่าว่าแต่พวกผมเลย แม้แต่คนที่อยู่ย่านเจริญใจกลางเมืองแท้ๆ ยังอยู่บ้านติดกับป่าช้าวัดดอนนี่นา ปัดโธ่!

หลังจากตะลอนๆ ไปกับเพื่อนฝูงอีกหลายคน เราก็แยกย้ายกันย่ำต๊อกกลับบ้าน...อากาศในเดือนธันวาคมเย็นยะเยือก แสงจันทร์ส่องสว่าง ทำให้เราเดินเข้าซอยได้อย่างสบายอารมณ์ ไอ้กล่อมถึงกับผิวปากเล่นอย่างครึกครื้น...

ทันใดนั้น เสียงหมาหอนก็ดังแว่วมาตามสายลม! ร่างเตี้ยล่ำของไอ้กล่อมชะงักกึกร้องด่าว่าไม่รู้จะหอนหาหอกอะไร? หรือว่าจะเห็นผี...

เสียงของมันขาดหายเมื่อเสียงหอนเปลี่ยนเป็นเสียงครางงื้ดง้าด เรามองสบตากันอย่างหวาดระแวง เอื้อมมือไปตบด้ามมีดที่สะเอว...ถ้ามีใครแปลกหน้าที่ปองร้ายเราไม่รู้ตัว หรือว่าอาศัยทีเผลอก็ต้องเจอกันหน่อยละ...

แต่เอ๊ะ! เบื้องหน้าเราก็คือหลุมศพระเกะระกะกับฮวงซุ้ยขาวโพลนอยู่ในแสงจันทร์ เสียงหมาหอนก็เงียบหาย สรรพสิ่งดูสงบนิ่งเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง!

"ไอ้ยะๆๆ ยิ่ง...เอ็งๆๆ เห็นอะๆๆ ไรมะๆๆ มั้ย...นะๆๆ โน่น..."

จู่ๆ ไอ้กล่อมก็กลายเป็นคนติดอ่างไปดื้อๆ ผมหันไปมองก็เห็นมันยืนนิ่ง อ้าปากค้าง นัยน์ตาลืมโพลง จ้องเขม็งไปที่อะไรบางอย่างเหมือนถูกสะกด ทำให้ผมมองตามสายตาของมันไปอย่างงุนงง... แล้วผมก็ได้เห็น...

คุณพระช่วย! ผมได้เห็นภาพที่จะไม่มีวันลืมลงเลยจนกว่าสิ้นใจ!

นั่นคือ คนกลุ่มใหญ่กำลังนั่งล้อมวงอยู่บนหลุมศพข้างๆ ฮวงซุ้ย แสงจันทร์ทำให้เห็นร่างดำทะมึนเหมือนตอตะโก แต่นัยน์ตาแดงก่ำปานแสงไฟกำลังจ้องมองมาเขม็ง...ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ร่างทั้งหมดยืดสูงขึ้นทุกที...สูงขึ้น...สูงขึ้นราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ท่ามกลางม่านตาอันพร่าพรายเต็มที

"เผ่นโว้ย!" ไอ้กล่อมร้องจ้า ผมกระโจนพรวดนำหน้า แว่วเสียงเพื่อนวิ่งพลางด่าพลาง ล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางเสียงหมาเห่าเกรียวกราว...กว่าจะถึงบ้านก็เหน็ด เหนื่อยแทบจะสิ้นใจ...ไอ้กล่อมจับไข้หัวโกร๋น ส่วนผมต้องให้พ่อพาไปรดน้ำมนต์... นึกถึงแล้วขนหัวลุกครับ!


ขอบคุณเรื่องเล่าข่าวสด

ลบยันต์ที่ประตู เลยเจอดี!!

เราเคยอยู่ห้องเช่ากับเพื่อนผู้หญิงที่หน้าโรงพยาบาลทหารเรือ ตอนที่ย้ายเข้าไปเจ้านายซึ่งเป็นคนเลือกห้องให้ อำเล่นโดยการคุยกับเพื่อนเขาให้เราได้ยินว่า "เฮ้ย ไอ้นักร้องคนนั้นที่มันตายในห้องมันผูกคอตายหรือแทงตัวตายวะ" เราเลยพูดแทรกเจ้านายว่า อย่าอำเสียให้ยากเลย เราไม่มีความเชื่อเรื่องนี้หรอก ไม่กล้วจ้า และเมื่อเราย้ายของเข้าไป ตอนนั้นงงมาก ว่าทำไมห้องนี้มันร้างมานานหรือยังไงเนี่ย เพราะฝุ่นที่พื้นเยอะมาก และที่สำคัญวงกบประตูห้องน้ำซึ่งเป็นไม้ มีปลวกขึ้นจนมีขุยดินซึ่งเกิดจากปลวกเยอะมาก ถ้ามีคนอยุ่เวลาอาบน้ำ ดินจะถูกล้างออกไป หรือไม่ ปลวกก็คงเสนอหน้าออกมาอย่างนี้ไม้ได้ แต่ก็แค่สงสัยเท่านั้นว่าตึกใหม่ๆ อย่างนี้ และเจ้าของเองก็บอกว่า

ห้องมักจะเต็มตลอด เอทำไมห้องนี้เหมือนร้างมานาน วันแรกที่ย้ายของเข้าไปก็ทำความสะอาดกันยกใหญ่ เราถูพี้นด้วยมือตัวเอง นั่งคุกเข่าถู ถู และถู ไปเรื่อยๆ จนวนไปถึงประตูห้อง ก็เลยถือโอกาสเช็ดประตูไปด้วย โดยเริ่มเช็ดจากล่างขึ้นบน จนไปถึง..เอ แป้งอะไรหว่าติดประตู ก็ไม่ทันคิดอะไร ยังคงถูสุงขึ้นเรื่อยๆ จนสงสัย แป้งอะไรวะ เลยยืนและถอยหลังออกมาดูระยะห่างพอสมควร อ้าว ซวย นี่มันยันต์นี่หว่า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่า คงจะมียันต์ที่ประตูทุกห้องมั้ง ตอนเราย้ายเข้ามา ไม่ทันสังเกตุ แต่พอคืนแรกที่ย้ายเข้าไป กลางดึก เพื่อนบอกว่า ตัวเอง ขอเปิดไฟนอนได้มั้ย ?? เราก็บอกว่าปกติเธอเปิดไฟนอนเหรอ เพื่อนบอกเปล่า เราก็เลยถามว่า แล้วจะเปิดทำซากอะไร กลัวเราเหรอ ผีน่ากล้วกว่าเรานะ เพื่อนรีบเอามือปิดปาก แล้วบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เล่าให้ฟัง พอรุ่งเข้าต่างคนต่างรีบไปทำงานก็เลยไม่ได้คุยกัน จนตอนเย็นเพื่อนบอกว่า วันนี้จะไปค้างกับเพื่อนที่หน้ารามฯ นะ อ้าว นอกจากจะไม่เล่าเรื่องเมื่อคีนแล้วยังทิ้งตูอีก ก็ช่างเหอะ เราก็กลับห้องพักคนเดียว นอนคนเดียวก็ไม่เห็นมีอะไร แต่เพื่อนที่อยุ่ด้วยกันเธอชอบทำท่าประหลาด

ชอบถามว่าเคยเจออะไรมั้ย แต่ไม่ยอมเล่าว่าเจ้าหล่อนเจออะไร แต่เจ้าหล่อนมักจะไม่ยอมนอนค้างกับเราในคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ โดยให้เหตุผลว่าต้องไปนอนกับเพื่อนที่หน้ารามฯ จนมีอยุ่วันหนึ่ง ขณะที่ล้มตัวลงนอน แต่ยังไม่หลับ เราก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยในความมืด จนตาเริ่มชินกับความมืดจึงเห็นสิ่งของบ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก มองไปเรื่อยเปื่อยจนไปหยุดอยู่ที่พัดลมติดเพดาน ก็สงสัยว่า เอทำไมพัดลมมันห้อยลงมานิดๆ นะ คือทำท่าจะหลุดจนเห็นสายไฟของตัวพัดลมซึ่งร้อยติดอยู่กับเพดาน เอ..มันน่าจะมีสาเหตุจากการที่ต้องถูกดึงรั้งจากอะไรสักอย่างที่หนักเอาการ มันถึงห้อยลงมาแบบนี้ เท่านั้นแหละ เจอเลย เรานอนหงายลืมตาอยู่แต่ทุกอย่างมืดสนิท ในความมืดนั้น ยังมีมืดกว่าอีกและรับรู้ได้ว่ามีบางอย่าง บางสิ่ง เป็นผุ้หญิง นอนลอยเหนือเราอยู่ หน้าแทบจะชนกับจมูกเรา เรากลัวจนไม่กล้ากระดิกตัว ถามตัวเองว่า นี่ใช่ผีหลอกอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นอะไรล่ะ เราจึงนอนอยุ่นิ่งๆ

ตั้งสติแล้วพยามยามคิดว่าคงเป็นเงาของอะไรสักอย่าง แต่ทำไมเรารุ้สึกว่า เงามืดนั้นเศร้ามากและโกรธแค้นอะไรสักอย่าง จึงตั้งสติใหม่และบอกกับสิ่งนั้นว่า เราและคุณไม่เคยรู้จักกัน และเราเองไม่เคยทำร้ายคุณเลย คงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คุณจะมาทำร้ายเรา หรือทำให้เรากลัวจนแทบตาย ดังนั้น หากคุณจากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์และความเศร้า ก็อย่าเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองด้วยการมาทำร้ายเราเลย มันบาปนะ หรือถ้าต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร ก็มาดีๆ มาทางความฝันเถอะ จะได้คุยกันได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราจะช่วย เงานั้นจึงค่อยๆ จางลงไป จนเรามองเห็นพัดลมเหมือนเดิมก่อนที่เธอจะมา พอหายจากอาการนั้นแล้ว เราจึงเผ่นไปเปิดไฟนอน เออ อย่างนี้นี่เอง เพื่อนมันถึงขอให้เราเปิดไฟนอน เราอยู่ห้องนั้นต่อไปคนเดียวโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ไปทำบุญให้เธอผู้นั้น หรือฝันถึงเธอผู้นั้นอีก จนเราเองคิดไปว่า เหตุการณ์ที่เราเจอคงเป็นเรื่องของการนอนทับเส้นประสาทอะไรสักอย่างของเรามากกว่าเรื่องของวิญญาณ จนผ่านไปหลายปี เราย้ายห้องพักไปอยู่ที่ใหม่ มีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งเล่นอยู่ที่ศาลานั่งเล่น ก็มีผู้เช่าห้องหลายคนมานั่งคุยกัน คุยกันหลายเรื่องจนถึงผู้หญิงคนหนึ่งเธอเล่าว่า เพื่อนของเธอเป็นนักร้อง และมีผู้ชายมาติดพัน ขอเลี้ยงดูเป็นเมียลับๆ

จนกระทั่งนักร้องคนนั้นท้องได้ 2 เดือน พอผู้ชายรู้เข้าก็หายหน้าไปเลย นักร้องคนนั้นจึงโทร.ไปตามและขู่ว่าถ้าไม่มาคืนนี้จะผูกคอตาย เมื่อรอจนผู้ชายไม่มา นักร้องคนนั้นจึงได้ผูกคอตายจริงๆ เพื่อนๆ ไปพบศพของเธอห้อยอยู่กับพัดลมติดเพดาน 3 วันหลังเธอตาย เรากลืนน้ำลายดังเอี๊อก ถามเล่นๆว่า นักร้องคนนั้นอยู่อพาร์ทเม้นท์ชื่ออะไร ผุ้หญิงคนนั้นตอบชื่อ...... เราถามต่อไปว่าห้อง 503 หรือเปล่า เธอถามเรากลับว่ารู้เบอร์ห้องได้อย่างไร เราตอบว่า อิฉันพึ่งย้ายออกมาจากห้องนั้นค่ะ แต่ววววว !!!!!!!!!

เรื่องเล่าจากงานศพ

เรื่องนี้พึ่งเกิดกับตัวดิฉันเองค่ะ พอดีวันนั้นเพื่อนสนิทของดิฉันโทรมาบอกว่าพ่อของเธอเสียชีวิต ดิฉันจึงรีบไปงานศพทันทีเลยค่ะในเย็นวันนั้น ดิฉันขอเท้าความนิดนึงคือภายในเดือนนี้ดิฉันได้เดินสายไปงานศพประมาณ 5 ที่ ค่ะ ส่วนตัวดิฉันแล้วการไปงานศพถือเป็นเรื่องที่ดิฉันอยากจะเลี่ยงมากค่ะเพราะไม่ทราบว่าคิดไปเองหรือเปล่าคือกลับจากงานศพทีไรก็มีเรื่องให้เดือดร้อนหรือเรื่องแปลก ๆ ทุกทีไปค่ะ เล่าต่อนะคะ พอถึงงานศพแล้วดิฉันก็เข้าไปไหว้ศพโดยทางเจ้าภาพไม่ให้จุดธูปค่ะ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เค้าจุดแต่ธูปจีนแท่งใหญ่ไว้อันเดียวค่ะ บรรยากาศก็เป็นไปอย่างเหงา ๆ เศร้าบอกไม่ถูกจนพระสวดจบ ดิฉันจึงลากลับไปพักผ่อนที่บ้านเพื่อนย่านรัตนาธิเบศน์ พอมาถึงบ้านด้วยความอ่อนเพลียดิฉันรีบอาบน้ำและเข้านอนทันทีค่ะ คือเหนื่อยจนตาลืมไม่ขึ้นเพราะขับรถทั้งวันค่ะ เพื่อนดิฉันก็นอนข้าง ๆ บ้านของเพื่อนดิฉันเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น โดยเรานอนกันข้างล่างค่ะ คืนนั้นเป็นอย่างไรไม่ทราบ นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน แต่รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างพยายามสื่อให้เรารู้ว่าเค้ามีตัวตัว คือจิตเราจับสัมผัสได้ว่า ตัวเค้าเป็นเจ้าที่อยู่ ณ ที่นี้ ให้เราบอกเจ้าเพื่อนของเราด้วยว่าตั้งศาลให้เค้าทีแล้วชีวิตจะดีขึ้น สื่อกันได้สักพัก ก็รู้สึกว่ามีอีกตนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเลย กลิ่นธูปแรงมากอันนี้รู้เลยว่าเป็นพ่อของเพื่อนที่เราพื่งไปงานศพมาคงมาส่ง ก็สื่อกลับไปว่าพ่อไม่ต้องเป็นห่วงเราปลอดภัยแล้วบอกด้วยจิตแค่นั้นกลิ่นธูปหายไปเลย กลับมาทางฝั่งเจ้าที่ ท่านเป็นผู้ชาย ตาดุมากจะบอกว่าดิฉันไม่ได้ลืมตา และก็ไม่ได้หลับค่ะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างอ่านได้จากจิตค่ะ เช้ามาดิฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง และชี้ตำแหน่งที่เค้าอยู่ให้เพื่อนทราบแต่เพื่อนของดิฉันหาว่าดิฉันไร้สาระ คิดไปเอง ดิฉันก็บอกไปว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็เชื่อเอง จนผ่านมา เมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อดิฉันคนนี้โทรมาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนกับแท่งปูนค่ะยุบไปครึ่งคัน ซึ่งก่อนหน้านั้นรถคันนี้เคยเกิดการควำมาแล้วพึ่งออกจากอู่มาไม่ถึง 2 อาทิตย์ ก็ต้องเข้าอู่ใหม่ ดิฉันจึงบอกเพื่อนไปว่าเคยบอกแล้วใช่ไหม แต่ไม่เคยเชื่อสักอย่าง แล้วมาเมื่อวานนี้ค่ะ เค้าโทรมาบอกว่าเค้าเชื่อแล้ว ดิฉันถามว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงเชื่อขึ้นมา เค้าบอกว่าเจ้าของบ้านที่เค้ามาเช่าบ้านอยู่เค้ามาหา เพื่อนดิฉันจึงสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบ้านหลังนี้จากเจ้าของบ้านค่ะ เชื่อไหมคะ เจ้าของบ้านบอกตรงกับดิฉันทุกอย่างเลยค่ะ ว่าเจ้าที่ตนนี้เป็นผู้ชาย แลดุร้าย และสถิตย์อยู่บนห้องชั้นบน ด้านในค่ะ เพื่อนดิฉันจึงขอโทษเป็นการใหญ่ และไม่กล้าลบหลู่อีกต่อไปเลยค่ะ

หลอนสุดๆ

หลอนสุดขีด (ข่าวสด)

"เป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคอนโดฯ ผีสิง พ่อไม่น่าขายบ้านแล้วมาอยู่คอนโดฯ เลย ผมน่ะเซ็งที่สุด ถ้ายังอยู่ที่บ้านเราอาจจะสุขสงบ ไม่มาเจอผีหลอกวิญญาณหลอนกันขนาดนี้หรอก

ตอนขายบ้านเมื่อปีกลายผมต้องแอบร้องไห้...ลูกผู้ชายอายุสิบสามอย่างผมไม่อยากเสียน้ำตาหรอก แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ผิดกับแม่และน้องปุ้ยของผม สองแม่ลูกนั้นร้องไห้ฮือๆ เลยเชียว ทีแรกก็ไม่คิดอะไรมากเพราะเห็นพ้องกันว่าบ้านเราใหญ่เกินไป เนื้อที่ก็กว้างขวางเกินไป... เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณตาคุณยายที่ท่านไปสวรรค์แล้วทั้งคู่

บ้านใหญ่นี่เป็นภาระมากครับ พ่อบอกว่าเราไม่ใช่คนร่ำรวย ต้องดูแลรักษาและควรมีสาวใช้สักสามคน ไหนจะต้องตัดหญ้า ดูแลสวน สารพัดละที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายน่ะ

ในที่สุด พ่อก็ตัดสินใจขายบ้านพร้อมที่ดิน ได้เงินหลายสิบล้านเชียวละ แล้วก็ย้ายมาอยู่คอนโดฯ แถวพระรามสาม เป็นห้องชุดขนาดเหมาะเจาะกับครอบครัวเรา มีตั้งสามห้องนอน คือห้องใหญ่ของพ่อกับแม่ ส่วนผมกับน้องปุ้ยได้มีห้องนอนส่วนตัวอยู่กันคนละห้อง

ตอนแรกผมก็ชอบใจแต่คิดถึงบ้านเก่าชะมัด ต้องนอนน้ำตาไหลคนเดียวอยู่นาน พ่อเองยังพูดกับแม่ว่าไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิด ผมคิดว่าพ่อไม่ผิดหรอกครับ ดีแล้วละ...ผม ปลอบปุ้ย ว่าเราต้องตัดใจจากอดีตและก้าวไปข้างหน้า! ผมพยายามเข้มแข็งเข้าไว้ จนกระทั่งเกิดเรื่องร้ายในคอนโดฯ ของเรา

เย็นวันหนึ่ง ผมกับปุ้ยกลับจากโรงเรียนแล้วก็ต้องตื่นตกใจที่เห็นรถตำรวจ รถมูลนิธิและรถข่าวเยอะแยะไปหมด ...เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นนะ?

ผมทราบจากเพื่อนร่วมคอนโดฯ และแม่ของผมว่ามีผู้หญิงผูกคอตาย ที่ร้ายที่สุดจนผมแทบเป็นลมก็คือ...ห้องที่เกิดเหตุนั้นอยู่ชั้นบนตรงกับห้องชุดของเราพอดีเป๊ะ!

เอาละซิ...น้องปุ้ยตัวสั่นเลย บอกว่าปุ้ยนอนคนเดียวไม่ได้แล้วละ ต้องนอนกับพ่อกับแม่! บรื๋อออ.... ปุ้ยยังเป็นแบบนี้ แล้วผมจะอยู่ได้ไงล่ะครับ? ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมย้ายหมอนกับผ้าห่มไปนอนในห้องพ่อแม่ด้วย โดยเอาที่นอนปิกนิกมาปูข้างเตียงที่พ่อแม่นอน เจ้าปุ้ยน่ะได้รับสิทธิพิเศษในฐานะเป็นลูกสาวตัวน้อย เลยได้นอนกอดแม่อยู่บนเตียงสบายแฮ

พูดถึงผู้หญิงที่ฆ่าตัวตาย เราก็เคยเห็นหน้าเธอบ่อยๆ แถมเคยยิ้มกับผมด้วย...แม่บอกว่าเธอเป็นสาวสวยที่มีเสี่ยเลี้ยงเป็นเมียน้อย แล้วเสี่ยก็มาซื้อคอนโดฯ ให้อยู่ แต่เกิดน้อยใจอะไรไม่ทราบ เธอด่วนทำลายชีวิตตัวเองอย่างสยดสยอง

วันแรกผมกลัวจนนอนไม่หลับ แม่กับปุ้ยก็เหมือนกัน ผมว่าพ่อก็ด้วยละน่า! คือพ่อเปิดไฟห้องน้ำแล้วแง้มประตูไว้ให้ห้องพอมีแสงสว่าง แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี และหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้

เฮ้อ...กลัวผีนี่มันทุกข์จริงๆ นะครับ เรากลัวอยู่นานมากๆ ยิ่งได้ข่าวลือว่าผีผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวให้คนโน้นคนนี้เห็นเราก็ยิ่งผวา แหม! อย่าลืมซิครับ ห้องที่เกิดเหตุน่ะอยู่บนหัวเราพอดี ว่ากันว่าคนที่อยู่ร่วมชั้นกับเธอน่ะ ย้ายไปหลายรายแล้ว คืนหนึ่ง หลังจากเธอตายสยองได้เดือนกว่าๆ เธอก็มาหาเรา!

คืนนั้น ผมหลับหรือยังตื่นอยู่ก็ไม่รู้ มันลอยๆ เหมือนฝัน หนังตาหนักอึ้ง และแขนขาก็ขยับไม่ได้...ผมนอนหงายและรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนเพดาน ทันใดนั้น ผมรู้สึกหนาวเข้ากระดูกดำ และสั่นสะท้านเหมือนคนเป็นไข้หนัก...

สิ่งที่เคลื่อนไหวบนเพดานก่อรูปก่อร่างเป็นผู้หญิงผมยาวห้อยกวัดแกว่งไปตามลีลาที่เธอคลาน โดยเอามือและเข่าเกาะเพดานไว้อย่างน่าขนลุกขนพอง ผมกลัวจนหลับตาปี๋ ...แต่ภาพที่เธอกำลังคลานไปมาทั่วเพดานห้องเรายังแจ่มชัดเหมือนจะแกล้งเขย่าขวัญ และแล้ว เสียงพ่อก็โวยวายไม่เป็นภาษาขึ้นมา!

ไฟสว่างพรึ่บ แม่นั่นเองเป็นคนเปิดไฟ ปรากฏว่าพ่อกับผมเห็นสิ่งสยองนั่นเหมือนๆ กัน เรากลัวแทบขาดใจ...ผมยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยหวาดกลัวอะไรสุดขีดแบบนี้มาก่อนเลย

อีกไม่กี่วันต่อมา พวกเราชาวคอนโดฯ ก็ทำบุญครั้งใหญ่ อุทิศส่วนกุศลให้เธอ แต่ทุกคนก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปจากที่นี่หรือยัง เพราะข่าวว่ายังมีคนเห็นเธออยู่ บ่อยบ้าง นานๆ ทีบ้าง

ผมซึมไปเลย คิดถึงบ้านมากที่สุด... นี่ถ้าเรายังอยู่บ้านเราจะไม่มีวันเจอเรื่องสยองแบบนี้แน่ คุณว่าจริงไหมครับ?

ด้วยความปากพร่อย

พี่สาวเป็นคนพบเจอแล้วกลับมาเล่าให้ฟังค่ะเรื่องมีอยู่ว่าพี่สาวไปทานเหล้ากับแฟนเค้า เพื่อนพี่สาว และแฟนเพื่อน ซึ่งสนิทกันค่ะ ร้านเหล้าร้านนี้ดังพอสมควร ถ้าบอกชื่อหลายคนน่าจะรู้จัก ร้านนี้จะอยู่ริมถนนค่ะ



แต่ที่จอดรถจะอยู่ในซอยลึกพอสมควรพอจอดรถเสร็จก็ต้องเดินออกมาที่ร้าน ทางที่เดินออกมาก็จะมีบ้านคน หลังใหญ่ มีฐานะอยู่เรียงรายในซอย แต่ว่าทางที่เดินจะมืดไม่ค่อยสว่างมากนักพี่สาวกับเพื่อนก็เดินคุยกันมาจนใกล้ถึงร้าน



จะมีบ้านหลังหนึ่งมีบริเวณกว้าง แต่เป็นบ้านร้าง แฟนเพื่อนก็เลยพูขึ้นว่า " ดูบ้านหลังนี้ดิ เก่าโทรมเชียว บ้านในซอยนี้มีแต่หลังใหญ่ๆกันทั้งนั้น ถ้ากูเป็นเจ้าของบ้านนะ กูขายให้เจ้าของร้านเหล้าแล้ว จะได้เอาเงินไปซื้อบ้านใหม่



สวยๆดีกว่า เก็บไว้ทำไมวะ เก่าจะตาย "พี่สาวกับเพื่อนก็เออออด้วย พี่สาวก็เสริมว่า ใช่ ถ้าเค้าขายนะ ร้านจะได้เอาไปทำที่จอดรถ ลูกค้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปจอดรถไกลเสร็จก็เดินถึงร้าน พอเข้าไปนั่งที่ร้าน (ไปกันทั้งหมด 4คนนะค่ะ )



เด็กที่ร้านก็เดินมา เอาแก้วมาวางไว้ 5 ใบ พี่สาวก็มองแต่ก็ไม่ว่าอะไร ก็เดินไปเข้าห้องน้ำ เสร็จพอสั่งข้าวมาทาน เด็กที่ร้านก็เอาจานมาวาง 5 ใบ พี่สาวก็เลยถามเด็กในร้านว่า "น้องค่ะ พี่มากันแค่ 4 คนนะค่ะ



นองเอาแก้วกับจานมาให้พี่เกินค่ะ" เด็ในร้านก็บอกว่า " อ้าวพี่ ผมเห็นมา 5 นะครับ ก็มีพี่ผู้หญิงผมยาวอีกคนไง เค้าเดินมานั่งพร้อมะเลยตรงนี้นะ" แล้วเค้าก็ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ พี่สาวกับเพื่อนก็มองหน้ากัน บอกไม่มี พี่มากันแค่ 4 คน



พี่สาวบอกในใจคิดว่าต้องมีไรแน่นอน ไม่งั้นเด็กคงไม่เห็นคนเดินมาด้วยอีกคน พอกินกันจนจะกลับบ้านแล้วเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาคุยด้วย ก็ไม่มีใครถามเรื่องบ้านหลังนั้น อยู่ดีๆเจ้าของร้านก็พูดเรื่องบ้านหลังนั้นขึ้นมาว่า



" เนี่ยจริงๆนะผมอยากซื้อบ้านหลังนี้เอามาทำที่จอดรถครับ แต่ว่าเจ้าของบ้านไม่ยอมขาย เพราะว่าลูกสาวแกรักบ้านหลังนี้มาก " แฟนเพื่อนก็เลยถามว่า อ้าวรักมากทำไมถึงไม่อยู่ละครับ ปล่อยบ้านโทรมทำไม



เจ้าของร้านจึงเล่าให้ฟังว่า " ลูกสาวแกตายไปแล้วนะครับ(หนูจำไม่ได้ว่าตายเพราะอะไรนะค่ะ) ลูกแกรักบ้านหลังนี้แกเลยไม่ยอมขาย และแกก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ปล่อยบ้านทิ้งไว้แบบนี้ " แฟนเพื่อนเลยถามว่าลูกสาวแกไว้ผมยาวป่าวครับ



เจ้าของร้านหันมามองหน้าแล้วบอกว่าทำไมคุณรู้ละ ลูกสาวแกผมยาว แกเคยเอารูปให้ดู หน้าตาดีด้วยครับ พอเล่าเรื่องนี้จบ เจ้าของร้านก็เดินกลับไปพอตอนเดินผ่านบ้านหลังนี้ ทั้งพี่สาว แฟนพี่สาว เพื่อน และแฟนเพื่อนต่างยกมือไหว้ขอโทษกันใหญ่



กลัวว่าเค้าจะตามกลับมาด้วยเสร็จพอขับรถออกมาก็เลยแวะไปนั่งหมู่บ้านสัมมากรกัน เพราะว่ายังมีเหล้าเหลือในรถ ก็กะจะมานั่งกินกันที่บึงต่อเพื่อนพี่สาวกับแฟนเค้านั่งตรงข้ามพี่สาว ส่วนแฟนพี่สาวนั่งฝั่งเดียวกันค่ะ ก็นั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้



สักพักพี่สาวก็เห็นเพื่อน หน้าซีด เหมือนตกใจอะไร แล้วก็หันไปถามแฟนว่า เห็นเหมือนฉันมั๊ย แฟนเค้าก็พยักหน้าแล้วบอกว่ากลับกันเถอะพี่สาวก็งง เพราะกินกันไปนิดเดียวเองแต่ก็กลับ ระหว่างนั่งรถกลับมาพี่สาวก็ถามว่ามีไรป่าว ทำไมรีบกลับ



เพื่อนบอกว่าถึงบ้านแล้วค่อยเล่าพอถึงบ้านพี่สาว เพื่อนก็รีบเดินเข้าบ้าน แล้วตรงหิ้งบูชาพระ แล้วบอก ยืมก่อนนะเดี๋ยวเอามาคืน พี่สาวถามว่ามีอะไร เค้าบอกว่าตอนที่นั่งกินเหล้าที่บึงตรงสัมมากระอะ กรูเห็นหน้ามึงตอนที่มึงหัวเราะ ปากมึงกว้างขึ้นเรื่อยๆจนถึงหูเลย



กรูนึกว่ากรูตาฝาด กรูเลยถามแฟนกรูว่าเห็นมั๊ย แฟนกรูก็เห็นเหมือนกรู กรูรับรองว่ากรูไม่เมา ถ้ากรูเมา กรูขับรถตามมึงมาไม่ได้หรอก



พี่สาวก็ตกใจ ก็เลยพากันหลอนหมด เพื่อนกับแฟนเพื่อนก็รีบกลับบ้านโดยยืมพระที่หิ้งพระกลับไปด้วยเรื่องก็มีเท่านี้ค่ะ

เรื่องจริง จากงานศพ!!

ที่จริงดิฉันไม่เคยรังเกียจรังงอนการไปงานศพมาก่อน ตรงกันข้าม กลับถือว่าเป็นงานสำคัญที่จำเป็นยิ่งกว่างานวันเกิดวันเงย หรืองานแต่งงานเสียด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นการไปอโหสิกรรมต่อกัน ล่ำลากันตามประสาญาติสนิทมิตรสหายเป็นครั้งสุดท้าย

แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง...เรียกว่าชวนให้ขนลุกขนพองสุดขีดก็แล้วกันค่ะ ที่ทำให้ดิฉันไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในงานศพใดๆ อีกเลย นับเวลาได้ราวสิบปีเศษมาแล้ว

งานศพของเพื่อนรุ่นน้องบริษัท เดียวกัน พ่อแม่จัดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดอภิธรรมขึ้นที่วัดหัวลำโพงนี่เอง ถือว่าเป็นวัดกลางใจเมือง ตอนนั้นรถราก็ยังไม่ติดขัดหรอกค่ะ ถ้าเลยชั่วโมงเร่งด่วนไปแล้ว และวัดทั่วๆ ไปก็ไม่รีบร้อนสวดศพกันตั้งแต่หัววันเหมือนอย่างปัจจุบัน

พงษ์เทพ อายุ 35 ปี หน้าตาไม่ขี้ริ้ว มนุษยสัมพันธ์ดีมาก มีอารมณ์ขันและช่างพูด ช่างคุย ทำให้เพื่อนฝูงได้หัวเราะกันเป็นประจำ ใครมีปัญหาชีวิตจนหน้านิ่วคิ้วขมวด พอได้ฟังพงษ์เทพพูดคุยก็หายเครียดได้พะเรอ

ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคนที่มีรสนิยมเพศเดียวกัน แต่พงษ์เทพก็ยังไม่มีแฟนซักที ถ้ามีใครถามก็ยิ้มฟันขาว พูดติดปากอยู่สองคำ

"เนื้อคู่ยังไม่เกิด" กับ "พี่ช่วยหาแฟนให้ผมซักคนซีฮะ"

ต่อ มาไม่นาน พวกเราก็ต้องยอมรับว่าเป็นโชคดีทั้งของพงษ์เทพ กับผู้หญิงที่จะมาเป็นคนรัก...เป็นภรรยาในอนาคต เพราะพงษ์เทพเสียชีวิตด้วยรถยนต์เมื่อเพื่อนชวนไปดูที่ดินเพื่อซื้อ-ขายเก็ง กำไรที่ชลบุรี ในยุคฟองสบู่กำลังเฟื่องฟู

ถ้าพงษ์เทพแต่งงานแล้ว คิดว่าเขาคงนอนตายตาไม่หลับแน่เพราะห่วงบุตรภรรยา และฝ่ายหญิงที่อาจจะเพิ่งตั้งครรภ์ ต้องประสบกับความวิปโยคโศกเศร้าปานใด?

แต่เมื่อไม่มีเรื่องเศร้าซ้ำสอง งานศพของพงษ์เทพก็ทำให้เกิดเรื่องสยอง น่าขนหัวลุกโดยไม่มีใครนึกฝัน!

ดิฉัน กับเพื่อนๆ ไปฟังสวดอภิธรรมทุกคืน พ่อแม่ของผู้ตายใจแข็งเหลือเกินทั้งๆ ที่มีลูกชายคนเดียว นั่งพนมมือฟังพระสวดด้วยท่าทางสงบนิ่ง พวกเราเข้าไปยกมือไหว้ก็ฝืนยิ้มรับไหว้ ขอบอกขอบใจที่อุตส่าห์มากันทุกคืน...อรสากับเพ็ญพรถึงกับหันมาซับน้ำตากับ ดิฉัน พึมพำเสียงเครือว่า...ถ้าเป็นเราคงจะขาดใจตายตามลูกไปแล้ว

คืนแรก พี่แหม่ม-หัวหน้าเราที่ออกมาจากบริษัทที่รัชดามางานพร้อมๆ กันก็เจอดีเข้าอย่างจัง

พวก เราจุดธูปไหว้ศพแล้วออกมานั่งที่เต็นท์หน้าศาลา พี่แหม่มนั่งคู่กับพ่อแม่พงษ์เทพ...แต่พอสวดเสร็จจบแรก พี่เขาก็ขอตัวมานั่งสมทบกับพวกเรา มีการเสิร์ฟเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ดิฉันกับเพื่อนๆ กำลังถือถ้วยตักเกี๊ยวใส่ปาก ส่วนพี่แหม่มขอแต่น้ำเย็น...เอียงหน้าเข้ามาบอกว่า

"นั่งในศาลาไม่ไหว...พงษ์เทพในรูปยิ้มให้พี่ตั้งหลายครั้ง!"

ดิฉัน หวิดสำลัก เพ็ญพรกับอรสาร้องวี้ดว้ายเบาๆ แถมปล่อยถ้วยปล่อยช้อนร่วงลงพื้นซีเมนต์เพล้งๆ จนคนอื่นๆ หันมามอง...ต่างคนต่างเหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก บรรยากาศแสนจะเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

คืนต่อมามีคุณ ป้าหกสิบเศษ รูปร่างอวบอ้วน ผิวขาว แต่งตัวเนี้ยบ เครื่องประดับวูบวาบ มาดคุณหญิงของแท้...มีลูกๆ หลานๆ คอยตามประคับประคอง พ่อแม่พงษ์เทพออกมายกมือไหว้นอบน้อม...เชื้อเชิญให้เข้าไปไหว้พระ แต่คุณป้าชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"ลูกชายเมื่อตะกี้หายไปไหนแล้วล่ะ?"

พ่อ แม่พงษ์เทพมองหน้ากัน ก่อนจะเรียนคุณป้าว่ามีลูกชายคนเดียว แต่ท่านยืนยันว่าพอลงจากรถมาถึงหน้าศาลาก็มีหนุ่มหน้าตาดีออกไปยกมือไหว้ ต้อนรับ

"พี่ไม่ได้ตาฝาดนะ...หน้าตาเหมือนพ่อพงษ์เทพเป็นพิมพ์เดียวกัน หรือว่า..."

เสียง คุณป้าขาดหายไปเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ที่ว่าจะเข้าไปไหว้พระเป็นอันว่าล้มเลิก แต่นั่งแปะลงที่เก้าอี้ในเต็นท์ หน้าตาขาวซีด ลูกๆ หลานๆ รีบคว้ายาหอมยาดมมาให้จ้าละหวั่น...ท่านจะเป็นลมน่ะซีคะ!

คืนสุดท้าย คุณลุงคนหนึ่งลุกจากศาลาเมื่อพระสวดจบที่สอง ใครถามว่าจะไปห้องน้ำใช่ไหม? แต่คุณลุงบอกว่าจะกลับบ้าน ไม่รอให้พระสวดจบแล้ว สาเหตุเพราะพงษ์เทพในรูปถ่ายหน้าโลงน้ำตาไหลพรากจนท่านทนดูไม่ไหว

ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ...ตอนที่เราออกจากงานศพมาขึ้นรถไล่ๆ กับแขกคนอื่นๆ ดิฉันกำลังสตาร์ตเครื่อง เพ็ญพรกับอรสาที่มาเบียดกันอยู่ข้างหน้าพูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ว่า...พี่ดาคะ พงษ์เทพมาส่งเราค่ะ...

ดิฉันหันขวับ...แม้แต่ว่าเป็นภาพเลือนๆ ก่อนจะจางหายไป แต่ก็ยังจำได้ว่านั่นคือพงษ์เทพแน่นอน...แล้วใครจะกล้าไปงานศพอีกล่ะคะ? โธ่...

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซาเล้งจากปรโลก

พิไลพร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองประปา

ดิฉันเคยเห็นและเคยได้ยินเสียงพวกซาเล้ง หรือเจ๊กขายขวดมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่อยู่ดินแดนมาจนขึ้นใจ และเคยนำมาล้อเล่นกับเพื่อนฝูงอยู่บ่อยๆ ด้วยความสนุกสนานตามประสาเด็ก

"มีขวกมาขายโอ๊ย! มีขวก มีเสกเหล็ก มีกาดาดหนัง สือพิมพ์มาขายโอ๊ย!"

จนกระทั่งเติบโตและมีครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแถวๆ ริมคลองประปาก็ยังมีซาเล้งทั้งชายและหญิง หนุ่มและแก่ถีบรถเข้ามาในหมู่บ้าน ดีดกระดิ่งบ้าง ร้องเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้านบ้าง

"มีขวดมาขาย มีกระดาษเก่ามาขาย..."

แต่ละบ้านล้วนมีกระดาษหนังสือพิมพ์ กล่องนมและกล่องทิชชูไปจนถึงขวดน้ำพลาสติก เป็นลำไพ่ก็มี เป็นการระบายขยะรกบ้านก็มี ดิฉันเองน่ะยกขวดเปล่าให้ซาเล้งเจ้าประจำไปเลย จะคิดเงินบ้างก็เฉพาะหนังสือพิมพ์เก่าและกล่องเปล่าเท่านั้นแหละค่ะ

เพื่อนบ้านบางคนก็มาบอกด้วยความหวังดีว่าพวกซาเล้งมักโกงตาชั่ง ระวังให้ดี! แต่ดิฉันหัวเราะเฉยเสีย...เขาจนกว่าเราค่ะ!

ขาประจำของดิฉันคือจีนชรารูปร่างผ่ายผอม ผิวเหี่ยวย่น ผมขาวโพลนชอบสวมหมวกแก๊ปสีแดง ฟันฟางแทบจะหมดปากแล้ว พวกซาเล้งคันอื่นๆ มาแต่เช้า หรือไม่ก็ตอนบ่ายจัด แต่ตาแป๊ะที่ว่ามักมาตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งของแกก็จำได้ทันที

ส่วนมากจะมาตอนบ่ายๆ วันเสาร์หรืออาทิตย์ที่ดิฉันหยุดงานอยู่กับบ้าน

ต่อมา มีข่าวว่าซาเล้งบางคนทำตัวเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ก็คนร้ายปลอมเป็นซาเล้ง เห็นบ้านไหนไม่มีใครอยู่ก็ฉวยโอกาสเข้าไปหยิบฉวยข้าวของมีค่า จนถึงกับบุกรุกเข้าไปจี้เจ้าของบ้านก็มี!

เมื่อเรื่องนี้หนาหูขึ้น ทางหมู่บ้านก็ติดป้ายห้ามซาเล้งเข้าไปเด็ดขาด...ตาแป๊ะซึ่งเป็นเจ้าประจำของดิฉันก็เลยหายหน้าไป

อันที่จริงก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนหรอกค่ะ เพราะคนในหมู่บ้านต้องทิ้งขยะทุกวันอยู่แล้ว ตรงหัวมุมซอยบ้านดิฉันมีถังขยะขนาดใหญ่ของ กทม.ถึง 3 ถัง สำหรับแยกประเภทขยะเปียก ขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย แต่ส่วนมากก็ทิ้งกันมั่วตามนิสัยตามใจคือไทยแท้!

หลังจากไม่มีซาเล้งเข้ามาในหมู่บ้านราวเดือนเศษ ดิฉันก็พบกับเรื่องแปลกประหลาดที่ชวนให้ขนหัวลุก

คืนหนึ่ง ดิฉันกำลังเคลิ้มหลับอยู่กับสามีและลูกชายวัยสามขวบ ก็มีเสียงคุ้นหูดังแว่วเข้ามาจนลืมตาตื่น นึกทบทวนว่าได้ยินเสียงอะไรกันแน่?

ครู่เดียว เสียงนั้นก็ดังขึ้นจนได้ยินชัดเจน เสียงกระดิ่งของซาเล้งค่ะ!

ตอนแรกดิฉันยังงุนงงอยู่ อาจจะเป็นเพิ่งจะงัวเงียขึ้นมาก็เป็นได้ สงสัยอยู่ว่า ทำไมซาเล้งถึงได้เข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้นะ? แต่พริบตาต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่า...เขาห้ามซาเล้งเข้าหมู่บ้านแล้วนี่นา! เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันนั่นเองที่ดิฉันจำได้ว่าเสียงกระดิ่งอันคุ้นเคยหู ก็คือกระดิ่งของตาแป๊ะขาประจำนั่นเอง!

แกอาจจะเล็ดลอดยามเข้ามาก็เป็นได้? แต่ทำไมถึงมาเอาป่านนี้? หรือว่าแกมีบ้านช่องอยู่ในละแวกนั้น? ขณะที่เสียงกระดิ่งค่อยๆ ห่างไกลเข้าไปด้านใน จนกระทั่งเงียบหายไป....

แต่ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับต่อ เสียงแว่วๆ ของกระดิ่งอันเดิมก็ดังใกล้เข้ามา ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็น ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที!

วูบหนึ่ง ดิฉันรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงหัวใจด้วยความหวาดระแวงบางอย่าง...พอดีเสียงกระดิ่งคุ้นหูมาดังขึ้นหน้าบ้าน....ดังอยู่เช่นนั้นและไม่มีวี่แววว่าจะห่างออกไปเลย

ปากคอแห้งผากเป็นผุยผงไปหมด แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าทำให้ลุกจากเตียงไปแหวกม่านหน้าต่าง มองผ่านมุ้งลวดออกไปยังถนนซอยหน้าบ้านที่มีแสงไฟฟ้าส่องให้เห็นรถซาเล้งคันนั้น...ตาแป๊ะสวมหมวกแก๊ปแดงคนนั้น กำลังเงยหน้ามองขึ้นมา

ดิฉันชาวาบไปทั้งตัว เข่าอ่อนแทบจะล้มแผละลง ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าอันคุ้นเคย นัยน์ตาเบิกค้างมองดูใบหน้าเหี่ยวย่นยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะโบกมือเหี่ยวแห้งเหมือนจะกล่าวคำอำลา....ซาเล้งคันนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนห่างหายลับไปจากแสงไฟและม่านน้ำตาของดิฉันเอง!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

เรื่องเล่าจากโฮปเวลล์

"ต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก ก.ม.11

ผมเป็นหนุ่มไฟแรงอยู่ชุมชนภักดีมาหลายปีแล้วครับ บางท่านอาจจะสงสัยว่าอยู่ที่ไหน? ไม่เคยได้ยิน! ก็ถือโอกาสบอกกล่าวว่าอยู่แถว ก.ม.11 ถนนวิภาวดีฯ มีทางรถไฟผ่านหน้าหมู่บ้านด้วยครับ

เนื่องจากผู้คนมากมายขึ้นตามความเจริญของบ้านเมือง หน้าบ้านผมเลยมีสถานีย่อย ก.ม.11 อยู่ระหว่างสถานีบางซื่อกับบางเขนไงครับ

ก่อนถึงสถานีบางเขนก็คือวัดเสมียนนารีที่มีข่าวโด่งดังเรื่องผีๆ สางๆ หวังว่าท่านผู้คนส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินข่าวเรื่องผีสาวคู่หนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นสองพี่ น้องถูกรถไฟทับตาย กลายเป็นผีดุวิญญาณเฮี้ยน แท็กซี่โดนหลอกหลอนหลายรายจนเป็นข่าวดังทั่วเมือง

เรื่องของเรื่องคือมีสองสาวโบกแท็กซี่แถวย่านรัชดาฯ ตอนดึกๆ ให้ไปส่งที่วัดเสมียนฯ น่าขนลุกตั้งแต่บอกปุ๊บก็ไปนั่งที่เบาะหลังปั๊บ ระหว่างทางก็ปรากฏรูปเงาวูบๆ วาบๆ มั่ง ขอให้ไปส่งในวัดมั่ง เล่นเอาแท็กซี่ใจคอไม่ค่อยดี ดึกเปลี่ยวในวัดน่ะชวนหนาวสันหลังอย่าบอกใคร...บางทีถึงจุดหมายก็หายตัวไปเฉยๆ

แท็กซี่ดวงซวยถึงกับเข้าเกียร์มือไม้สั่น ขนหัวลุกตั้งไปทันใด!

บางคนเจอะเจอเรื่องสยองขวัญยิ่งกว่านั้น...คือขับรถผ่านมาตอนดึกๆ เห็นผู้หญิงสองคนคลานไล่กันบนทางรถไฟ พอจ้องมองอย่างลืมตัวก็แทบช็อกตายคาที่...สองสาวนั่นน่ะแขนขาขาด เลือดโชกไปทั้งตัว แถมหันมาฉีกยิ้มเต็มใบหน้าเหวอะหวะอีกด้วย

แถวหน้าบ้านผมก็ไม่หยอกหรอกครับ ไหนจะต้นโพธิ์ต้นไทรร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็อบอุ่นดีอยู่เพราะมีร้านค้าทั้งผัดไทย ต้มเลือดหมู ยาดองเหล้า ผลไม้ ข้ามทางรถไฟไปฝั่งโน้นก็มีบะหมี่เกี๊ยว ขนมนมเนย น้ำส้มน้ำหวานมีพร้อม

แต่พอตกค่ำคืนเท่านั้นแหละ ยิ่งดึกยิ่งเปลี่ยว แทบจะหาผู้คนไม่เจอ มีแต่หมาจรจัดเห่าหอนชวนขนลุกชะมัด

ลือกันว่าเคยมีคนโดนรถไฟชนมั่ง คิดสั้นโดดให้รถไฟทับตายมั่ง วิญญาณเจ็บปวดเหล่านั้นก็มักหาโอกาสมาปรากฏตัวให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวเป็นประจำ!

ผมเองน่ะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ

คืนนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับไอ้โก้เพื่อนซี้ที่ซอยสวนผัก หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยว่าจะไปหาอะไรดื่มกินเพื่อความครึกครื้น ตามประสาหนุ่มโสดที่เงินเดือนออกตุงกระเป๋า...จุดหมายของเราคือพัฒน์พงษ์คนยากที่สี่แยกสะพานควายไงครับ

ที่นั่นมีผับมีบาร์เรียงรายเป็นสิบแห่ง โชว์เด็ดๆ ปลุกใจเสือป่า ไม่ว่าอะโกโก้ โคโยตี้ รูดเสา จนถึงวาดรูป สูบบุหรี่ เปิดโซดา...โอ๊ย! อย่าให้เล่ารายละเอียดเลยครับ เดี๋ยวจะไม่เหมาะ เอาเป็นว่าย่านนั้น หรือรู้จักกันในชื่อ "รังอีแร้ง" น่ะเป็นชุมทางของนักเที่ยวในย่านนั้นและใกล้เคียงก็แล้วกัน

ขอข้ามเรื่องการออฟเด็กไปโรงแรมม่านรูดที่อยู่แถวนั้น ไปถึงเรื่องขนหัวลุกนะครับ!

เราไม่กล้ายุ่งเกี่ยวเพราะกลัวโรคร้าย เดี๋ยวเอดส์จะถามหาเปล่าๆ ราวห้าทุ่มเศษก็จ่ายเงินบึ่งรถกลับรังนอน เพราะรุ่งขึ้นต้องไปทำงานกันทั้งคู่

ลมดึกปะทะหน้าตาอู้ๆ ยังดีที่เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อย...จนกระทั่งใกล้จะถึงจุดหมายอยู่ร่อมร่อเมื่อเห็นโครงโฮปเวลล์ตั้งทะมึน...น่าเกลียดน่ากลัวทั้งสองฝั่งทางรถไฟ...มองเห็นทางข้ามรางรถไฟอยู่ซ้ายมือ พอดีรู้สึกอ้อมแขนของไอ้โก้รัดเอวผมแน่นผิดปกติ พลางส่งเสียงกระเส่าอยู่ข้างหู

"ไอ้ต้น...ไอ้ต้น กูเห็นอะไรไม่รู้บนโฮปเวลล์น่ะ..."

"ไอ้บ้า เห็นอะไรวะ?" ผมหัวเราะเมื่อพารถข้ามทางรถไฟแล้วเลี้ยวขวา

"คนนั่งห้อยขาอยู่บนนั้นว่ะ...หรือจะฆ่าตัวตาย" เสียงไอ้โก้เหมือนคนไข้หนัก "เฮ้ย! ทางฝั่งนี้ก็มี ไม่เชื่อมึงก็เงยหน้าขึ้นมองซี่"

ผมโคลงหัว ตอนนั้นรถชะลอลงแล้ว เลยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเย็บวาบไปทั้งตัว...ร่างดำเมื่อมของชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนนั้นจริงๆ แต่ขาทั้งสองข้างของมันห้อยยาวลงมาเป็นวา...เล่นเอาหลุดปากร้องเฮ้ย! รถเป๋ไปจนเกือบล้มคว่ำ

พอตั้งหลักได้ผมตะบึงรถผ่านชุมชนภักดีไปยังสวนผักไม่คิดชีวิต ไอ้โก้กอดเอวผมแน่นจนถึงบ้านมัน...คืนนั้นต้องอาศัยนอนบ้านเพื่อน ขนหัวลุกไปนานเลยครับ!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

หอพักสยอง

ชาญชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพักผีดุ 0 พูดถึงเรื่องโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า เล่าให้ใครฟังก็ ไม่ค่อยเห็นภาพ หรือนึกรู้ถึงความรู้สึกตอนนั้นหรอก ครับ ยกเว้นแต่จะคุยกับคนที่เคยโดนผีหลอกมาแล้วถึงจะเข้าใจ

มีทั้งอาการตกตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดหายวับจากใบหน้า เย็นซ่าจากต้นคอลงไปถึงกลางหลัง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวคล้ายจะเป็นไข้ ขากรรไกรแข็งทื่อจนร้องไม่ออก...ในที่สุดก็อยากหายตัววับไป หรือไม่ก็ร้องไห้โฮให้หายอัดอั้นตันใจ!

ผมกลัวผีมาตั้งแต่ยังเด็กๆ อยู่ที่บางบัว ก่อนจะมาเป็น รปภ.อยู่ที่หอพักสตรีในย่านดินแดง! ที่นั่นเอง ผมเจอะเจอภูตผีดุร้ายสุดขีดแทบจะขาดใจตาย แต่เมื่อเหตุการณ์ขนหัวลุกผ่านไป ผมกลับไม่ได้โกรธเคืองภูตผีตนนั้นหรอกครับ กลับรู้สึกเวทนาด้วยซ้ำไป

เรื่องเป็นยังงี้ครับ...

ผมมีญาติชื่อน้าหวิงแกเป็นคนยามเก่าแก่ของหอพักแห่งนั้น พอดีมีคนเก่าลาออก น้าหวิงก็เลยใช้เส้นฝากฝังผมเข้าไปทำงานแทน...ส่วนมากมักจะได้กะดึกคือสี่ทุ่มไปจนถึงหกโมงเช้า บ้านช่องห้องหอหายห่วงอาศัยซุกหัวนอนกับน้าหวิงที่อยู่ละแวกนั้นเอง

คืนนั้นฝนพรำมาแต่หัวค่ำ ผมรับเวรต่อจากน้า หวิงพอดี!

มีห้องพักยามอยู่ข้างประตูหอพัก...แต่น่าสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงเปิด 24 ชั่วโมงก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นอพาร์ต เมนต์ก็ได้ มีอยู่ 5 ชั้น มีลิฟต์อำนวยความสะดวกพร้อม เมื่อขึ้นไปก็เป็นทางเดินตรงกลางระหว่างห้องพักซ้ายขวาที่เรียงรายกันเป็นตับ ทำให้ระเบียงด้านหลังหันมาทางประตูรั้ว ดูแปลกตาเอาการ

ลุงหวิงเล่าว่าก่อนนั้นน่ะ มีเรื่องฆ่าแกงกันหลายรายแล้ว ส่วนมากเกิดจากความหึงหวง แม้แต่ การฆ่าตัวตายก็มี คือกระโดดมาจากระเบียงชั้นบนบ้าง กินยาตายบ้าง ที่น่าสยองก็คือเชือดเส้นเลือดที่ข้อมือนอนแช่น้ำตายในอ่าง กว่าจะพบศพก็วันรุ่งขึ้น...

ว่ากันว่าผีดุนักหนา!

มีทั้งเข้าไปเคาะห้องข้างๆ กับส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนจนต้องย้ายหนีไปหลายรายแล้ว...คนเช่าส่วน มากเป็นผู้หญิงทำงานบริษัท นักศึกษา คนทำงานกลางคืนก็มี

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็พอดีแว่วเสียงผู้หญิงกรีดร้องมาจากชั้นบน ครั้นเผ่นออกไปเงยหน้ามองฝ่าละอองฝนบางๆ ขึ้นไปก็เห็นสาวหนึ่งในชุดสีดำบนระเบียงชั้นสามกำลังโบกไม้โบกมือ ส่งเสียงลงมาได้ยินชัดเจน

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย..."

ผมละล้าละลัง เพราะตัวเองไม่มีหน้าที่ขึ้นไปจุ้นจ้านบนนั้น แต่มีพนักงานประจำเคาน์เตอร์กับ รปภ.คอย ดูแลอยู่...คิดอีกที เธอกำลังขอความช่วยเหลือจากผมนี่นา!

พริบตานั้น สาวชุดดำก็วิ่งหายเข้าไปในห้อง ไม่ถึงอึดใจเธอก็วิ่งแน่วออกจากอาคารที่โดดเด่นขึ้นไปบนผืนฟ้าสีหมึก...เมื่อเข้ามาใกล้ถึงได้เห็นชัดว่าเธออยู่ในชุดนอนสีดำ ผมยาว ผิวขาว หน้าตาสะสวยที่ดูเหมือนจะคุ้นหน้า เธอปราดเข้ามาหาผมที่ถอยหลังเข้ามาในตู้ยาม กระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง

"ช่วยด้วย! ผีค่ะ...มันจะฆ่าฉัน..." เธอโพล่ง หน้าอกหน้าใจสั่นกระเพื่อม น่าใจหาย ก่อนจะเล่าว่า ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็มีรูปเงาเลือนรางคล้ายวุ้นของผู้หญิงวัยเดียวกันกลุ่มหนึ่ง เข้ามาห้อมล้อมหัวเราะต่อกระซิก บ้างก็กระซิบกระซาบยั่วเย้า บอกว่า พวกเธอกินยาตาย โดดตึกตาย ถูกแทงตาย! มาอยู่ด้วยกันเถอะแล้วจะพบแต่ความสุข...

"ฉันไม่อยากตาย" สาวชุดดำกระหืดกระหอบ หันไปมองที่ระเบียงชั้นสามไม่หยุดหย่อน "ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยฉันด้วย..."

"อะไรกันครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย" ผมพูดเป็นเชิงปลอบใจ แต่เธอส่ายหน้า

"นั่นไง! สาวชุดดำหันขวับไปชี้มือสั่นระริก "พวกมันยืนเกาะระเบียงเต็มไปหมด กำลังมองดูเราด้วย...ดูซี่! มันจ้องเป๋งเชียว"

เสียงยืนยันสั่นเครือทำให้ผมเย็นวูบที่ต้นคอ แข็งใจปลอบโยนพลางหันมอง

"ทำใจให้สบายเถอะครับ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ผมคิดว่า..." เสียงผมขาดหายไปเมื่อพบว่ากำลังพูดอยู่กับความว่างเปล่า ท่ามกลางความเย็นชื้นของฤดูฝน แสนจะเปล่าเปลี่ยวและชวนให้เหน็บหนาวเข้าไปถึงหัวใจ...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดเดิม...

นรกเป็นพยาน! บัดนี้มีร่างของหญิงคนหนึ่งกำลังยืนเกาะลูกกรงระเบียง ก้มหน้าลงมามองเศร้าๆเพียงเดียวดาย...ผู้หญิงในชุดนอนสีดำคนนั้นเอง!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มอไซค์ผีสิง

ดิฉันเป็นครูประจำชั้น ป.5 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑล ซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก แต่ดิฉันมักจะกลับถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน เพราะหลังจากโรงเรียนเลิกตอนบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ดิฉันยังต้องสอนพิเศษต่ออีกสองชั่วโมง

หลังจากนั้นก็ต้องตามไปสอนพิเศษลูกศิษย์ถึงบ้านอีกหนึ่งราย ใช้เวลาสองชั่วโมงเหมือนกัน...และนั่นก็ทำให้ดิฉันต้องเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก!

"น้องโอ" เป็นเด็กผู้ชายน่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน แต่น่าหนักใจมากตรงที่แกไม่ชอบเรื่องเรียนเอาซะเลย ไม่ใช่โง่นะคะ เพียงแต่ไม่อยากเรียนซะงั้น ทำให้ผลการเรียนต่ำมาก...และแน่ละ! คุณพ่อคุณแม่กลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะปีหน้าก็ต้องไปสอบเข้า ม.1 แล้ว

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็เลยมาขอร้องดิฉันให้ไปสอนตัวต่อตัวในช่วงเย็น ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ

ก่อนหกโมงเย็น ดิฉันจะไปถึงบ้านน้องโอ รอให้ลูกศิษย์สุดแสบอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อยแล้วลงมาทำการบ้านกัน...ความลำบากอยู่ตรงนี้ละค่ะ เด็กที่ไม่รักเรียนจะอิดออดจนเราอ่อนใจ...ที่จริงราวทุ่มครึ่งดิฉันควรจะกลับบ้านได้แล้ว แต่บางคืนกว่าจะสอนการบ้านเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแน่ะค่ะ

คืนที่เกิดเหตุก็เช่นกัน!

น้องโอไม่ยอมเข้าใจเลขที่ดิฉันสอนซะที ถึงกับเป็นน้ำหูน้ำตาเลยทีเดียว ดิฉันต้องค่อยๆ ปลอบและให้กำลังใจ พยายามอารมณ์เย็นที่สุด...และแล้วก็เสร็จจนได้ แต่พอเหลือบมองนาฬิกา โอ้โฮ! สามทุ่มจะครึ่งแล้วเรอะเนี่ย?

ดิฉันโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าไม่ต้องห่วงนะ ปลอดภัยดี กำลังจะกลับแล้ว จากนั้นก็ลาพ่อกับแม่น้องโอ พวกเขาเกรงใจดิฉันมาก และให้เงินค่าแท็กซี่มาเยอะเชียว แต่ดิฉันขอไม่รับ โดยบอกว่าบ้านอยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร ดิฉันนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนเดิมก็สะดวกดีอยู่แล้ว

ซอยบ้านน้องโอค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ แต่ไม่เปลี่ยว บ้านช่องหนาแน่นและมีไฟถนนสว่างไสว มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา

ทว่า คืนนั้นเมื่อก้าวออกจากประตูบ้านน้องโอ ดิฉันรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาเฉยๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร รู้แต่ลมแรงเหมือนกัน...นี่ละค่ะ ปลายฝนต้นหนาว!

ยอดไม้เอนไหวซู่ซ่า เสียงใบไม้แห้งแกรกกรากลากไปกับถนน เอ...คืนนี้ผู้คนเข้าบ้านกันหมด ถนนว่างเปล่า ดูสว่างเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟ...

ทันใดนั้น ดิฉันสะดุดหัวคะมำ ใจหายวาบ นึกว่าจะล้มลงไปฟาดพื้นแล้วซิ แต่ดีนะที่ยั้งตัวไว้ได้ กระนั้นก็รู้สึกขวัญหาย หัวใจเต้นแรง ตกใจมากจนตัวชา...พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากดิฉันไปราวไม่ถึง 10 เมตร

เอ๊ะ! มาได้ยังไง? เมื่อกี้ไม่เห็น หรือว่านัยน์ตาเราไม่ดีเอง?

มอเตอร์ไซค์คันนั้นจอดตั้งขาตั้งเดี่ยว คนขี่นั่งคร่อมอานคล้ายจะรอผู้โดยสารเข้าไปหา ตอนสะดุดตาตะกี้ ข้อเท้าดิฉันพลิกไปหน่อยเลยแพลงค่ะ ปวดตุ๊บๆ เชียวละ แต่ก็ไม่เป็นไร...พอเดินเข้าไปถึง ดิฉันก็บอกจุดหมายปลายทางเสียงใสชัดเจน

คนขับหันมาช้าๆ โดยไหล่ของเขาไม่ขยับเขยื้อนเลย มีเพียงศีรษะที่หมุนมาเผชิญหน้ากับดิฉัน...

เอ๊ะ! อะไรนั่น หน้าเขาเป็นอะไร ดำปี๋ไปซีกหนึ่งอย่างนั้น! ดิฉันเพ่งมอง ทีแรกคิดว่าคงเป็นปานขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่หรอกค่ะ ดิฉันแทบลืมหายใจเมื่อจ้องตากับเขา...ตาคู่นั้นเหมือนจะไร้แวว ใบหน้าเฉยเมย เลื่อนลอย...

และแล้ว ดิฉันก็ถอยกรูด ร้องหวีดอย่างลืมตัว สีดำเป็นแถบบนใบหน้าเขาไม่ใช่ปานหรอกค่ะ นี่มันเป็นใบหน้าของซากศพกำลังเน่า เนื้อดำและเปื่อยยุ่ย ขณะที่หน้าอีกซีกหนึ่งยังดูคล้ายปกติ

ใครจะอยู่ต่อล่ะคะ? ดิฉันหันหลังได้ก็วิ่งกลับไปที่ประตูบ้านน้องโอ..ตะปบมือกดออดอย่างบ้าคลั่ง...แม่น้องโอวิ่งเข้ามารับเข้าบ้าน ทุกคนตกใจที่เห็นดิฉันหวาดกลัวแทบเสียสติ

สิ่งที่ดิฉันพบคือผีอย่างไม่ต้องสงสัย หลายปีก่อนมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างถูกผู้ร้ายจี้ชิงทรัพย์ และฆ่าทิ้งในซอยนี้ เวลาผ่านไปนาน แต่วิญญาณที่น่าสงสารยังสิงสู่อยู่ที่นั่น

ดิฉันต้องแจ้งทางบ้านว่าไม่สบาย ต้องค้างบ้านน้องโอ ดีนะที่รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์

พ่อแม่น้องโอขอให้ดิฉันสอนลูกเขาต่อไป แต่นับจากนั้น คุณพ่อน้องโอต้องขับรถมาส่งถึงบ้านดิฉันทุกวัน เพราะดิฉันไม่ยอมเดินในซอยนั้นตามลำพังอีกเลยค่ะ!

ลาตาย

แก้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปิ่นเกล้า

ดิฉันเคยได้ยินเรื่องลางสังหรณ์มาพอสมควร เช่น ฝันร้ายในคืนก่อนเดินทางว่าประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เกิดความหวาดกลัวจนไม่กล้าไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุจนถึงบาดเจ็บและล้มตาย เป็นต้น

ส่วนลางสังหรณ์ของผู้อื่นก็คือ เห็นคนรู้จักกันเดินมาตอนกลางวันแสกๆ แต่ไม่มีเงาบ้าง หรือมีเงาแต่หัวขาดบ้าง จะทักก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าจะถูกโกรธเคือง ทั้งๆ ที่มีเคล็ดว่าถ้าทักแล้วจะทำให้คนถูกทักพ้นเคราะห์

ในที่สุดคนที่ไม่มีเงาก็มีอันต้องเสียชีวิตไปจริงๆ ส่วนมากมักจะเป็นอุบัติเหตุค่ะ

ดิฉันเองเคยประสบกับเรื่องทำนองนี้มาแล้วเมื่อราว 4-5 ปีก่อน แต่ยังจดจำได้แม่นยำไม่มีวันลืมเลือน!

ขณะนั้นดิฉันเปิดร้านเสริมสวยเล็กๆ อยู่แถวปิ่นเกล้า เป็นย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะมีทั้งศูนย์การค้า บาร์คาราโอเกะ โรงนวดแผนโบราณและคาเฟ่ มีหอพักหรือห้องแบ่งเช่ามากมาย คนเช่ามักจะทำงานสถานบริการ ส่วนหนึ่งก็เป็นลูกค้าขาประจำของดิฉันด้วย

"นุช" เป็นนักร้องคาเฟ่วัยต้นยี่สิบ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาสะสวย มักจะติดรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีเสมอ นิสัยช่างพูดช่างคุย กิริยามรรยาทก็สุภาพเรียบร้อย ก่อนไปทำงานมักจะมาสระผมที่ร้านดิฉันเกือบทุกวัน

เธอเล่าว่าเป็นคนปราณบุรี มักจะหาโอกาสกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เป็นประจำ...โดยเฉพาะปีใหม่กับสงกรานต์จะไม่ละเว้นเด็ดขาด!

บางวันก็มีแฟนอายุไล่เลี่ยกันขี่รถมอเตอร์ไซค์มารับกลับไปห้องเช่า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ขับรถไปส่งที่คาเฟ่ ส่วนขากลับนุชจะนั่งตุ๊กๆ กลับเอง เธอเคยเล่าว่าแฟนที่ชื่อวินต้องพักผ่อนเพราะต้องไปทำงานตอนเช้า

เหตุการณ์น่าขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนใกล้ปีใหม่นั่นเอง!

นุชมาสระผมที่ร้าน สังเกตดูหน้าเศร้าๆ ท่าทางหงอยเหงา ไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนเคย ดิฉันลองไต่ถามดูก็รู้สาเหตุว่าผู้จัดการไม่ยอมให้ลางาน เพราะปีใหม่แขกเยอะ นุชเองก็ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องเจ้าเสน่ห์ หรือระดับดาราที่เรียกแขกได้ดีคนหนึ่ง

"คาเฟ่อื่นที่นุชเคยร้องเพลงก็ไม่เคยมีปัญหา" เธอพูดพร้อมกับทำตาแดงๆ "แต่ที่นี่ถึงกับบอกว่าถ้าไม่มาทำงานตอนปีใหม่ก็ลาออกไปเลย...ออกก็ออกซีคะ! คาเฟ่อื่นๆ ก็ยังมี"

"ถ้าตัดสินใจได้แล้วจะทำหน้าเศร้าทำไมล่ะ?"

"นุชเสียใจที่เคยบอกปัดที่อื่นไปน่ะซีคะ ทั้งๆ ที่เขายืนยันว่าจะลาหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าลอยกระทง สงกรานต์หรือปีใหม่ก็ไม่มีปัญหา...แต่ที่นี่คิดจะเรียกแขกลูกเดียว เอาจับฉลากของขวัญมาล่อ แล้วบังคับนักร้อง"

ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเต็มที เพราะนักร้องสวยๆ แถมน่ารักอย่างนุชไม่มีวันตกงานง่ายๆ เป็นแน่...

หลังจากสระไดร์ ทำเล็บเท้าเล็บมือเสร็จ นุชก็ยกมือไหว้ล่ำลา อวยพรปีใหม่ให้กันและกันเสร็จสรรพ...จู่ๆ เธอก็อยากนวดหน้าที่ไม่เคยทำมาก่อน ดิฉันเแซวว่า กลับบ้านคราวนี้พ่อแม่คงจะจำลูกสาวแทบไม่ได้ เพราะสวยกว่าเดิมจนผิดหูผิดตา!

พอดีมีลูกค้าขาประจำที่เป็นแม่บ้านเข้าร้านมา 2-3 คน นุชยกมือไหว้ สวัสดีปีใหม่ พวกคุณป้าคุณน้าก็อวยชัยให้พรเธอ...พอดีมีเสียงแตรดังขึ้นเบาๆ วินนั่นเองที่มารับแฟนตามเคย...นุชทำท่าจะออกจากร้านแล้ว แต่กลับหันมายกมือไหว้ ล่ำลาดิฉันอีกครั้ง

...คงใจลอยหรือดีใจที่เห็นหน้าคนรักก็ไม่ทราบ ที่ทำให้นุชมาไหว้ลาดิฉันซ้ำสอง

ก่อนจะปิดร้านคืนนั้น นุชก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินมาแวะอำลาดิฉันที่ร้านอีก...บอกว่าวินจะไปส่ง ขึ้นรถที่ท่าพระ แถมยกมือไหว้ลาทุกๆ คน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก...ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าร้านเราเป็นทาง ผ่าน...จนกระทั่งขึ้นไปซ้อนท้ายแล้วนุชยังหันมาโบกมือพลางยิ้มหวาน

"ลาก่อนนะคะพี่แก้ว สวัสดีปีใหม่ค่ะ ลาก่อน..."

รถแล่นตะบึงไปทางปากซอย ดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว เสียววาบไปถึงหัวใจ ม่านตาพร่าพรายไปครู่ใหญ่...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุเกิดจากอะไรแน่?

วันรุ่งขึ้นก็ได้รับข่าวร้ายว่านุชไปไม่ถึงบ้านเกิดที่ปราณบุรี...ไปไม่ถึง สถานีขนส่งสายใต้ด้วยซ้ำ เพราะรถมอเตอร์ไซค์ของหนุ่มสาวคู่นั้นชนท้ายรถเมล์จนเสียชีวิตคาที่ทั้งสอง คน

การล่ำลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนุชจะถือว่าเป็นลางมรณะได้ไหมคะ? แต่ดิฉันนึกแล้วขนหัวลุกค่ะ


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

ห้องน้ำปั้มน้ำมัน

ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ ดิฉันต้องขอบอกว่าตัวเองเป็นคนกลัวผีมากที่สุด แต่ไม่เคยเจอแบบจังๆ นะคะ จะมีบ้างก็แค่ฝันหรือไม่ก็ผีอำ ซึ่งดิฉันไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าเป็นผีจริงๆ คือถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วท่านว่าการถูกผีอำนั้นเกิดจากเลือดลมเดินไม่สะดวก

ดิฉันคิดว่าตัวเองยิ่งแก่ก็ยิ่งกลัวผี แปลกดีไหมล่ะคะ? ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง แต่กลัวผีขึ้นสมองเลยละ! เมื่อตอนสาวๆ ดิฉันนอนคนเดียวได้สบายมาก แม้แต่ตอนไปดูงานถึงยุโรป ต้องนอนพักคนเดียวในโรงแรม ดิฉันก็ดับไฟนอนได้โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ซิคะ อายุสี่สิบปลาย มีลูกชายกำลังจะวัยรุ่นสองคนแล้ว ดิฉันกลับขี้ขลาดกว่าแต่ก่อน

ยังสงสัยตัวเองว่า ทำไมตอนนี้นอนคนเดียวไม่ได้ อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่กล้า มันกลัวไปหมด สามีกับลูกไม่เข้าใจหรอกค่ะ เขาหัวเราะไม่เชื่อว่าดิฉันกลัวจนเป็นทุกข์เหลือเกิน เวลาที่พ่อลูกเขาออกไปเที่ยวข้างนอกกันแล้วกลับดึกๆ น่ะ ทรมานจริงๆ

คุณแม่ดิฉันบอกว่ามันอาจจะเป็นอาการของผู้หญิงใกล้จะวัย "เลือดจะไปลมจะมา" อาการเมนโนพอสหรือใกล้หมดประจำเดือนก็มักจะกลัวไม่มีเหตุผล

ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวเลยค่ะ แต่ทำไงได้ คืนไหนสามีไปต่างจังหวัดก็ต้องลากลูกๆ มานอนเป็นเพื่อน

เมื่อเดือนเมษายนนี่เอง เราไปเที่ยวหัวหินกันค่ะ เช่ารถตู้ไปจะได้ไปกันหลายๆ คน มีครอบครัวเรา และเลขาฯ ของสามีกับแฟน เราสนุกกันมาก เช่าโรงแรมอยู่ตั้งห้าคืนแน่ะ

ที่หัวหินไม่มีเรื่องผีหรอกค่ะ ดิฉันหมายถึงเราไม่ได้เจอประสบการณ์สยองขวัญกันที่นั่นสักนิดเดียว...แต่ตอนขากลับนี่ซิคะ ดิฉันต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่น่าขนหัวลุก!

เราออกเดินทางจากหัวหินมาตอนเย็นแล้วละค่ะ...พอผ่านชะอำ ผ่านเพชรบุรีถึงวังมะนาวก็ค่ำแล้ว เราบ่ายหน้าเข้ากรุงเทพฯ รถเยอะน่าดู เอ...ชักอยากเข้าห้องน้ำแล้วซิ แต่ก็กลัวคนอื่นรำคาญเลยกลั้นไว้ก่อน

รถแล่นมาถึงไหนก็จำไม่ได้ ดิฉันไม่ค่อยถนัดเส้นทางนี้ รู้แต่คอยมองหาปั๊มเจ็ทเพราะห้องน้ำห้องท่าสะอาด และเด็กๆ จะได้ลงไปซื้อน้ำและของกินเล่นได้ด้วย

ทว่า รถแล่นมาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นปั๊มน้ำมันที่หมายตา อีกทั้งธรรมชาติก็เรียกร้องอย่างสุดกลั้นแล้วนะ สมน้ำหน้า! ก่อนออกจากหัวหินกินน้ำหวานเข้าไปตั้งเยอะตั้งแยะ

เมื่อทนไม่ไหว ดิฉันก็สะกิดคนขับว่าเจอปั๊มไหนก็ช่วยแวะหน่อยนะ เท่านั้นแหละดูเหมือนสมาชิกทุกคนในรถจะพยักพเยิด ดีอกดีใจกันใหญ่ว่าแต่ละคนก็ปวดฉี่แต่กลั้นไว้เพราะเกรงใจ คนขับรถร้องบอกอย่างอารมณ์ดีว่าผมก็ปวดเหมือนกัน!

ฉับพลัน เราเห็นปั๊มน้ำมันข้างหน้า คนขับหักเลี้ยวเข้าไปทันที พอรถจอดเราก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เปิดประตูได้ก็เดินแกมวิ่งเข้าไปยังห้องที่สร้างไว้หลายห้องติดกัน เหมือนห้องน้ำในโรงเรียนยังไงยังงั้น

น่าสะกิดใจว่าห้องน้ำไม่เปิดไฟเลย มันมืดไปหมด มีแต่แสงไฟนีออนจากร้านขายของเล็กๆ ในปั๊มสาดส่องเข้าไป...

ตอนนั้นมันปวด...ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะมองซ้ายมองขวาแล้ว ดิฉันลิ่วเข้าห้องน้ำมืดๆ ปิดประตูได้ก็ปล่อยซะโล่งเลย หูได้ยินเสียงห้องข้างๆ เอาขันแกว่งน้ำเล่น...เอ๊ะ! ใครกันนะ?

ดิฉันตะโกนเรียกลูกๆ แต่เงียบแฮะ มีแต่เสียงเอาขันสังกะสีแกว่งน้ำไปมา ดิฉันเลยรีบออกจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องขนลุกซู่ที่ในห้องน้ำอันเงียบสงัด มืดทะมึนนี้มีแต่ดิฉันคนเดียว

เมื่อมองผ่านห้องต่างๆ ราวห้าหกห้องไปถึงสุดทางก็มีแต่ความเงียบ ทว่าห้องข้างๆ ที่ดิฉันเข้า คือห้องที่สองถัดจากห้องแถวริมสุดทางออกนี้ประตูปิดอยู่...และแล้วก็มีเสียงผู้หญิงบ่นอะไรงึมงำๆ ดังแว่วออกมา

ดิฉันรู้สึกงงงัน...ผีเรอะ?! แปลกที่กลับไม่กลัวแต่สงสัยว่านี่มันอะไรกัน?

ดิฉันรีบเดินออกมาพบลูกๆ กับสามีและคนอื่นๆ ที่รออยู่ เขางงว่าดิฉันวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่มืดร้างได้ยังไง ห้องน้ำที่เปิดใช้น่ะสร้างใหม่ สว่างไสวอยู่ด้านตรงข้าม ห่างจากห้องน้ำนี้ไปสิบกว่าเมตรเท่านั้น ดิฉันดันไม่เห็นและหลุดมาเข้าห้องน้ำสยองขวัญนี้คนเดียว

ต้องหันกลับไปมองอย่างเสียวไส้ ขณะปีนขึ้นรถทันที

กลับมาถึงกรุงเทพฯ ยังแสยงอยู่เลยค่ะ คิดๆ ดูแล้วเหมือนมีอะไรมาบังตา หลอกล่อให้ดิฉันไปโดนผีหลอกคนเดียว

แต่เออแน่ะ! ทีโดนผีหลอกจริงๆ ดิฉันกลับไม่กลัว เอาแต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ใครหนอมาแกล้งแกว่งขันเล่น เขาจงใจหลอกหรือตั้งใจจะทำให้ดิฉันคิดว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำข้างๆ ดิฉันจะได้ไม่กลัวผี...เขามาดีหรือร้ายกันแน่คะ?!

เรื่องเล่าจากคุณ ดาเรศว์

ป่าช้าบางแสน

สมัยหนุ่มๆ ผมชอบไปเที่ยวบางแสนกับเพื่อนฝูงในบริษัทที่กรุงเทพฯ บังเอิญมีเพื่อนเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยครูบางแสน (ม.บูรพาในปัจจุบัน) เวลาเรายกโขยงไปทีก็นัดแนะเพื่อนอาจารย์มาร่วมวงด้วยเป็นประจำ จนพลอยสนิทสนมคุ้นเคยกันทุกคน

ครั้งหนึ่ง มีเพื่อนชื่อโก้-ฉายา "แฟมิลี่แมน" หรือ "พ่อบ้านแสนดี" พาครอบครัวไปเที่ยวด้วย คือเมียกับลูกชายชื่อตั๋นอายุราว 8-9 ขวบได้ เปิดห้องโรงแรมชายหาดอยู่ใกล้ๆ กัน อาจารย์กิตติก็มาสมทบด้วยตามเคย

ตอนบ่ายแก่ๆ เรามาตั้งวงกันที่ข้างสระน้ำหน้าโรงแรม ถัดไปเป็นบังกะโลที่บังเอิญเต็มหมด ไม่งั้นเราก็จะจองหลังใหญ่เอาไว้สรวลเสเฮฮากันได้เต็มที่

แหม! ถึงแม้สมัยนั้นสาวๆ จะนุ่งวันพีซโชว์ขาอ่อนขาวๆ อวบๆ อย่างเดียวพวกผู้ชายก็ตื่นเต้น จ้องมองแทบจะไม่กะพริบตาไปตามๆ กันแล้ว วันนั้นพ่อเจ้าตั๋นนึกยังไงไม่รู้ เล่าว่าลูกชายจอมซนคนเดียวนั่นเก่งทุกอย่าง ไม่ว่าปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา เสียอย่างเดียวเท่านั้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่าจะหัดให้ลูกก็ไม่มีโอกาสซักทีเพราะบ้านไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง

อาจารย์กิตติโพล่งว่า "ง่ายนิดเดียว ถ้ากล้ากระโดด น้ำลงสระนั่นหนสองหน รับรองว่าว่ายน้ำเป็นแน่ๆ ว่าแต่จะใจถึงหรือเปล่าล่ะ?"

"ถ้าตั๋นจมน้ำตายล่ะ ใครจะช่วย?" เด็กจอมแก่นแย้ง

"พ่อตั๋นไง ไปยืนรอในสระ พอตั๋นโดดตูมพ่อก็รับ... ขึ้นไปบนสปริงบอร์ดแล้วกระโจนลงมาเลย"

เด็กชายตั๋นต่อรองว่าขอเป็นกระโดดข้างสระได้ไหม เพราะข้างบนมันน่าหวาดเสียวเกินไป...อ้อ! ต้องมีค่าจ้างด้วยนะ! เล่นเอาอาจารย์กิตติบอกว่าได้เลย ถ้าตั๋นกล้าโดดลุงจะจ่ายให้ยี่สิบบาท!

"ตกลงฮะ" เด็กชายตอบอย่างไม่ลังเลแล้วลุกขึ้นยืน แม้ว่าแม่จะห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเสียง เล่นเอาเจ้าโก้ผู้พ่อรีบเผ่นลงสระไปรอรับลูกชาย เด็กจอมแก่นไปหยุดอยู่ข้างขอบสระแล้วกระโดดตูมในท่าทิ้งลูกมะพร้าวทันที แม่วิ่งตามไปดูก็เห็นลูกชายจมดิ่งก่อนจะโผล่ขึ้นมาตาลีตาเหลือก พ่อของมันรีบคว้าตัวเข้าหาขอบสระ ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว

พอกลับมานั่งตามเดิม อาจารย์กิตติก็ส่งเงินให้ยี่สิบบาทตามสัญญา ถามว่ากลัวมั้ย? เจ้าตั๋นบอกได้ตังค์แล้วไม่กล้ว! แม่ที่กำลังเช็ดตัวให้ลูกชายยังอดหัวเราะไม่ได้ แต่เด็กจอมแก่นกลับเรียกร้องโบนัสหน้าตาเฉย

"ลุงกิตติต้องเล่าเรื่องผีให้ตั๋นฟังมั่งซีฮะ พ่อบอกว่าแถวโรงเรียนลุงน่ะผีดุไม่ใช่หรือฮะ? แล้วตั๋นจะกระโดดน้ำแถมให้อีกสองที"

ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่อาจารย์กิตติเอง ก่อนจะเล่าเรื่องผีตามสัญญา!

ที่หน้าวิทยาลัยนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่มาก่อน ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่วัดตามความเจริญของบ้านเมือง ป่าช้าเก่าก็เลยกลายเป็นสวนมะพร้าวร่มครึ้ม ไม่ว่าอาจารย์หรือนักศึกษาชอบใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปออกถนนใหญ่ โดยตั้งต้นที่ร้านข้าวแกงเจ๊เล็ก แม้ว่าในสวนนั้นค่อนข้างจะเปลี่ยว แม้แต่ตอนกลางวันก็น่าวังเวงใจชอบกล

มีคนถูกผีหลอกที่นั่นหลายราย คือเห็นเงาวับๆ แวมๆ อยู่แถวโคนต้นมะพร้าวทั้งที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอยู่เลย

บางคนขี่จักรยานไปดีๆ ก็มีเสียงตุ๊บๆๆ ดังขึ้นข้างหลังเล่นเอาสะดุ้งโหยง จนรถแทบล้ม...เสียงลูกมะพร้าวหล่นแท้ๆ แต่กลับไม่มีให้เห็นแม้แต่ลูกเดียว

วันหนึ่ง อาจารย์กิตติก็เจอะเจอเข้ากับตัวเอง!

ขณะที่เพิ่งปั่นรถออกจากหน้าร้านข้าวแกงไปในสวนได้ไม่ถึงห้านาที ก็เห็นร่างตาแป๊ะหลังโกง สวมเสื้อผ้าแบบคนจีนสีดำ มายืนโบกมืออยู่ข้างต้นมะพร้าวข้างหน้า ห่างออกไปราวสิบก้าว...แต่เมื่ออาจารย์ชะลอรถเข้าไปจอดที่นั่นกลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่เงา...

"อะไรกันวะ?" เขาพึมพำพลางเกาหัวแกรก เสียงยอดมะพร้าวไหวซ่าทำให้ขนลุกเมื่อนึกถึงเรื่องผี รีบปั่นจักรยานพุ่งออกไปทันที

ฉับพลันนั้น เกิดมีแรงปะทะดังลั่นเข้าที่ล้อหลังจนรถเสียหลักล้มโครม แข้งขาถลอกปอกเปิกไปหมด แต่ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านั้น...และไม่กล้าใช้ทางลัดผีดุนั่นอีกต่อไป

เจ้าตั๋นนั่งอ้าปากค้าง ลืมตาโพลงอย่างตื่นเต้นตลอดเวลา หน้าตาไม่เหลือความแก่นแก้วเหลืออยู่อีกเลย...ไปบางแสนเที่ยวนั้นนอกจากจะได้ฟังเรื่องผีแล้วยังทำให้เจ้าตั๋นว่ายน้ำด้วยครับ!

คุณยายที่อ่าวมะนาว

"น้องเฟิร์ส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชายหาด

หนูเป็นชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิดค่ะ แต่คนส่วนมากจะรู้จักหัวหินมากกว่าประจวบฯ เพราะหัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังมาหลายสิบปีแล้ว ส่วนประจวบฯ เป็นเมืองเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆ ค่ะ

พวกเราชอบไปเที่ยวอ่าวมะนาวกัน ดูๆ แล้วมันกลมเหมือนลูกมะนาว ดูวิวสวยๆ ลมพัดเย็นๆ น่านอนเล่นที่เก้าอี้ผ้าใบใต้ต้นไม้ที่สุด

เพื่อนๆ หนูชอบเล่นทายอะไรเอ่ยกัน ทั้งปัญหาเชาวน์และปัญหาทั่วๆ ไป อย่างอะไรเอ่ย สองตีนเดินมาหลังคามุงกระดาษ? คำเฉลยคือคนกางร่มเดินไงล่ะคะ บางวันเล่นทายกันว่าจังหวัดอะไรเอ่ยขึ้นต้นด้วยป.ปลา?

ประจวบแน่ล่ะค่ะ ปราจีนบุรี ปทุมธานี...บางคนนึกต่อไม่ออกก็บอกว่า...ปราณบุรี! เราต้องท้วงกันใหญ่ว่าเป็นอำเภอ ไม่ใช่จังหวัด แต่คนทาย (ชื่อตากุ่ย) ก็ยืนยันว่าปู่เขาเรียกเมืองปราณบุรีนี่นา ต้องเป็นจังหวัดซี่ เราหัวเราะตัวงอ ขำกลิ้งไปตามๆ กัน

โธ่เอ๊ย! นั่นเป็นเมืองเก่ามาตั้งเกือบร้อยปีแล้ว คุณครูประวัติศาสตร์สอนก็ไม่รู้จักจำ..เปลี่ยนชื่อตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แล้วจ้ะ

หนูมีเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังด้วยค่ะ!

วันอาทิตย์นั้นเราไปเที่ยวอ่าวมะนาวกันตอนบ่าย พวกพ่อแม่ก็ล้อมวงคุยกันโต๊ะหนึ่ง พวกเด็กๆ ก็อีกโต๊ะหนึ่ง เพื่อนทั้งหญิงและชายลงไปเล่นน้ำทะเลกันบ้าง วิ่งเล่นที่ชายหาดกันบ้าง แต่หนูเล่นน้ำจนเบื่อ ชอบนอนที่เก้าอี้ผ้าใบกินขนมกับน้ำหวาน มองดูวิวข้างหน้ายังเพลินกว่าเป็นไหนๆ

คลื่นทยอยกันเข้ากระทบฝั่งเสียงสาดซ่า ลมเย็นๆ พัดมาแสนสบาย..แม่ค้าเร่ขายของกินผ่านไปมาแต่หนูไม่สนใจหรอก เพราะกินกับพ่อแม่จนอิ่มตื้อแล้วนี่คะ

พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน..หนูเห็นคุณยายผมขาวมานั่งยิ้มอยู่ข้างๆ หนูนี่เอง หน้าตาใจดีมากเลย แล้วคุณยายก็เล่านิทานให้หนูฟังค่ะ..

..หมู่บ้านอ่าวน้อยมีตายายคู่หนึ่ง ชื่อตาม่องล่ายกับยายรำพึง มีอาชีพหาปลาและทำไร่ ทั้งสองมีลูกสาวคนเดียวชื่อยมโดย เธอเป็นคนสวยมากและขยันขันแข็ง ทำให้พวกหนุ่มๆ ไม่ว่าใกล้หรือไกลต่างหมายปองเธอทั้งนั้น

ลูกชายเจ้าเมืองเพชรบุรีชื่อ เจ้าลาย ได้ยินกิตติศัพท์นางยมโดยจึงปลอมตัวเป็นพ่อค้ามาที่อ่าวน้อย เมื่อได้รู้จักกับนางยมโดยจึงได้รู้แน่ว่าข่าวลือเป็นความจริง เจ้าลายเองก็หลงรักนางยมโดยจนส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอจากนางรำพึง เมื่อฝ่ายหญิงไม่ขัดข้องก็ตกลงนัดวันแต่งงานกันทันที

น่าเศร้าตรงที่ตาม่องล่ายไม่ได้ล่วงรู้ถึงการนัดหมายเรื่องนี้เลย!

ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีเจ้าชายจากเมืองจีนซึ่งล่องเรือสำเภามาค้าขายในย่านนั้นก็หลงรักนางยมโดยเช่นกัน ได้ทำการสู่ขอกับตาม่องล่าย แล้วกำหนดวันแต่งงานตรงกันพอดี

ครั้นถึงวันสำคัญ เจ้าลายก็ยกขบวนขันหมากใหญ่โตมาจากเมืองเพชรบุรี ส่วนเจ้าชายจีนก็ยกขบวนขันหมากมาที่บ้านนางยมโดยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายตั้งขบวนขันหมากอยู่ที่อ่าวน้อยหน้าหมู่บ้านนั่นเอง!

ตาม่องล่ายกับยายรำพึงจึงเกิดทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็จะยกลูกสาวให้กับคนที่ตัวตกลงไว้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ยายรำพึงจึงคว้าหมวกขว้างใส่ตาม่องล่ายด้วยความโมโห หมวกปลิวไปตกที่ริมหาดประจวบฯ ต่อมาเป็นภูเขาชื่อ "เขาล้อมหมวก"

ฝ่ายตาม่องล่ายก็โยนกระบุงใส่ยายรำพึงทันใด กระบุงลอยข้ามอ่าวไปตกถึงจังหวัดตราดกลายเป็นเกาะชื่อ "เกาะกระบุง"

จากนั้น สองตายายจึงขว้างปาสิ่งของต่างๆ ด้วยความโมโหสุดขีด!

สากตำข้าวปลิวไปโดนเขาลูกหนึ่งบนเกาะ กลายเป็น "เกาะทะลุ" แล้วลอยไปตกทะเลกลายเป็น "เกาะสาก" อยู่ที่ปากน้ำจังหวัดชุมพร ตอนที่สากไปถูกเกาะทะลุได้ฟาดกระจงตัวหนึ่งหัวขาดกระเด็นไปตกน้ำกลายเป็น "เกาะหัวกระจง" อยู่ที่ตำบลบ่อคา อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ส่วนไส้พุงของกระจงก็กลายเป็น "เกาะไส้กระจง"

ในที่สุด ยายรำพึงวิ่งหนีไปจนสิ้นลมหายใจที่อ่าวบางสะพาน กลายเป็นภูเขาใหญ่ริมอ่าวชื่อ "เขาแม่รำพึง" ฝ่ายตาม่องล่ายทั้งเสียใจและโกรธแค้นลูกสาวผู้เป็นต้นเหตุจึงจับร่างนางยมโดยฉีกออกเป็นสองซีกทันที!

โยนไปทางเมืองเจ้าลายซีกหนึ่ง แต่แกคงหมดแรงเสียก่อนจึงโยนไปได้แค่อำเภอปราณบุรี กลายเป็น "เกาะนมสาว" อีกซีกหนึ่งโยนไปทางเมืองเจ้าชายจีน แต่ไปตกที่จังหวัดชลบุรี กลายเป็น "เกาะนมสาว" แม้จะห่างไกลกันก็จริงแต่มีชื่อเดียวกัน

ฝ่ายเจ้าลายผิดหวังในความรักจึงทิ้งเครื่องขันหมาก กลายเป็น "ภูเขาสามร้อยยอด" อยู่ที่อำเภอปราณบุรี พวกเครื่องเพชรพลอยก็ตกกระจายกลายเป็น "ภูเขาเพชรพลอย" กับ "เขาหัวแก้วหัวแหวน" อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วตัวเองก็ตรอมใจตายกลายเป็น "เขาเจ้าลาย" อยู่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเช่นกัน

เจ้าชายจีนก็ทิ้งเครื่องขันหมากจนหมดสิ้น พลูจีบกลายเป็น "หอยมวนพลู" หมากกลายเป็น "หอยหมาก" ที่เขาเก็บมาทำเป็นตัวหมากรุก ขนมจีนกลายเป็น "สาหร่ายทะเล" เครื่องเพชรพลอยต่างๆ กลายเป็น "หอยทับทิม" และ "หอยดาว"

ตะเกียบกลายเป็น "เขาตะเกียบ" อยู่ที่หัวหิน กระจกส่องหน้านางยมโดยไปติดอยู่ที่ "เขาช่องกระจก" จานข้าวไปตกเป็น "เกาะจาน" อยู่หน้าอ่าวคลองวาฬ ประจวบฯ ส่วนตาม่องล่ายก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่ที่ชายทะเลอ่าวน้อยจนตาย กลายเป็น "ภูเขาตาม่องล่าย" มาจนถึงทุกวันนี้

...คุณแม่มาเขย่าตัวหนูจนตื่น ที่แท้หนูก็อิ่มจนหลับ แล้วฝันไปว่ามีคุณยายผมขาว หน้าตาใจดีมาเล่านิทานให้ฟัง...สนุกก็สนุกนะคะ แต่ขนหัวลุกค่ะ!

ตึกอาถรรพ์

"คงกะพัน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่แยกคอกวัว

สมัยก่อน ผมเป็นวัยรุ่นอยู่แถวสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง นี่เองครับ เพื่อนฝูงเยอะแยะตั้งแต่หลังวัดบวรฯ ถนนสิบสามห้าง ถนนตานี ถนนข้าวสาร ไปถึงฝั่งตรงข้าม ยันวัดมหรรพ์ ศาลเจ้าพ่อเสือโน่นแน่ะ

เรื่องวัยรุ่นกับเที่ยวเตร่เป็นของคู่กันอยู่แล้ว ไมว่ากลางวันกลางคืน ขอให้เพื่อนชวน มีเพื่อนเที่ยวเถอะน่า จะตะลอนๆ ซอกแซกซะอย่าง รับรองว่าถึงไหนเป็นถึงกัน

สิ่งที่กวนประสาทมากๆ คือเรื่องผีดุ!!

เขาว่าละแวกนั้นผีดุสาหัส ไม่ใช่ดุธรรมดา แต่อย่างว่า พวกเราฟังเรื่องผีกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ฟังไปขนลุกไปก็มี แต่หลายๆ เรื่องกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่ากลัวตรงไหน บางทีก็ซังกะตายฟังไปยังงั้นเอง แต่บางทีสนิทกันหน่อยก็จะบอกคนเล่าว่า...เรื่องนี้ขอเละๆ นะ

พวกรุ่นน้ารุ่นลุง จนถึงรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายที่พกเรื่องผีไว้คนละเป็นกระบุง ก็จัดการเล่าเรื่องผีชนิดน่าขนพองสยองเกล้าให้เราฟังไม่ชักช้า...ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่า "จัดให้!"

ที่ถนนราชดำเนินน่ะรถวิ่งจนชนกันโครมครามมั่ง เสยคนข้ามถนนมั่งหลายๆ คันก็เสียหลัก พุ่งขึ้นมาไล่อัดคนบนฟุตปาธจนบาดเจ็บล้มตายมานับไม่ถ้วน วิญญาณผีตายโหงนับร้อยนับพันก็สิงสู่อยู่ที่นั่น คอยหลอกหลอนผู้คนสารพัดรูปแบบ

นั่นคือ เห็นรถเก๋งขับรถผ่านไปช้าๆ จ้องมองก็ไม่ยักเห็นคนขับซักคนเดียว!

บางทีเป็นรถกระบะ มีคนนั่งสลอนหัวดำมืด แต่ทุกร่างล้วนแต่งแข็งทื่อ ร่างอาบเลือด หน้าตาแหลกยับ เล่นเอาคนเห็นภาพนั้นถึงกับสติแตก วิ่งปุเลงๆ พร้อมกับร้องจ้าชนิดไม่รู้ทางไป

ผู้คนที่เดินมาตามถนนหนทางก็หยอกอยู่เมื่อไหร่ เพราะเห็นเดินมาดีๆ อ้าว? กลายเป็นร่างเละเทะ แก้มฉีก นัยน์ตาห้อยร่องแร่ง บางรายเห็นเดินหิ้วหัวตัวเองมาก็มี

บางรายก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่พอใกล้เข้ามากลับหายแว้บไปซะยังงั้นเอง!

บางคนเล่าเรื่องสุดสยองให้ฟังว่า ตอนดึกราวสองยาม กำลังเดินมาจากถนนตะนาวจะออกราชดำเนินอยู่แล้ว ได้ยินเสียงรถยนต์ห้อตะบึงผ่านไป ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยโหยหวน พอวิ่งออกไปดูก็แทบจะช็อกคาที่เมื่อเห็นผู้ชายร่างโชกเลือดกำลังคลานจากถนน มือหนึ่งยันพื้น มือหนึ่งโบกขอความช่วยเหลือ...เลือดแดงเถือกไปทั้งตัว

ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว หันไปอีกทีก็ขนหัวลุกตั้ง เมื่อเห็นชายเคราะห์ร้ายคลานขึ้นมาบนฟุตปาธแล้ว...แต่ว่ามีอยู่ครึ่งตัวเท่านั้นเอง ท่อนล่างไม่มีหรอกครับ!

รายนี้เสียสติอยู่หลายวัน ญาติต้องพาไปให้พระรดน้ำมนต์ถึงได้ค่อยทุเลา

ตอนที่เกิดเรื่อง 14 ตุลาคม วันมหาวิปโยค ได้ข่าวว่ามีคนตายหลายร้อย ผมเพิ่งสิบกว่าขวบ เขาลือกันว่าผีดุนักหนา...พอจะซาไปหน่อยก็เกิด 6 ตุลาคมขึ้นมาอีก ชาวบ้านแถวนั้นขนลุกขนชันไปตามๆ กัน

ที่น่าสยองสุดๆ ก็ตรงสี่แยกคอกวัว หรืออนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคมนั่นแหละครับ เขาลือกันว่าผีดุสาหัสสากรรจ์ที่สุด!

สมัยก่อนเคยเป็นอาคารสูงใหญ่ แต่วันดีคืนดีก็เกิดถล่มทลายลงมาดื้อๆ ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรแน่ บางคนบอกมีคนตายอยู่ซากตึก 2-3 คน จนกระทั่งสร้างขึ้นมาใหม่ กลายเป็นสถานีวิทยุ ททท.ต่อมาก็ใช้เป็นหน่วยงานราชการ จนกระทั่งเกิดเรื่องวันมหาวิปโยคขึ้นมา ตึกนั้นก็โดนเผาวอดวายไปทั้งหลัง

กลายเป็นซากตึกร้าง แม้ว่าจะรื้อทิ้งเหลือแต่ที่ว่างเปล่า...ผมกับเพื่อนๆ เดินผ่านไปมาทั้งกลางวันและกลางคืน บางทีก็รู้สึกเย็นสันหลังเหมือนกันแฮะ แต่เมื่อแข็งใจหันไปจ้องมองก็ไม่ยักเห็นอะไร

พวกรุ่นใหญ่เคยเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตึกนี้ให้ฟังครับ!

ตอนที่มันเกิดถล่มหรือยุบตัวลงมาดื้อๆ มีคนที่เดินผ่านชอบหยุดดูซากตึก ไม่รู้ว่ามันมีอะไรน่าดูตรงไหน? หรือจะจริงอย่างที่เขาพูดๆ กันก็ไม่รู้ ที่ว่าคนเราไม่ค่อยชอบดูการสร้างตึก แต่ถ้าเกิดไฟไหม้หรือตึกถล่มทลายละชอบดูนักเชียว

คือชอบความพินาศวอดวายกว่าการสร้างสรรค์ เพื่อสนองตัณหาดิบเถื่อน กับสัญชาตญาณชอบทำลายของตัวเอง!

รุ่นใหญ่เล่าว่าเดินกลับบ้านตอนดึกมา 2-3 คน พอผ่านซากตึกนั่นได้นิดเดียวก็สะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน เพราะได้ยินเสียงถล่มทลายโครมครามราวเกิดแผ่นดินไหว

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติ ก็ตึกมันถล่มลงมาตั้งนานแล้วจะมีอะไรเหลือให้ถล่มอีกล่ะ? แต่จะว่าหูฝาดไปเองก็แปลก เพราะได้ยินพร้อมๆ กันทุกคน กระโดดโหยงๆ เป็นกุ้งเต้นไปตามๆ กัน...ผีหลอกน่ะซี!

เล่นเอาเดินขาสั่นกลับบ้านไปตามๆ กัน เห็นว่าเจอมาหลายรายแล้ว

ประสบการณ์ของผมกับเพื่อนๆ หลังจากมีการสร้างตึกใหม่และโดนเผาจนเหลือแต่ซากแล้วครับ...แถมมากัน 2-3 คนอีกต่างหาก

คืนนั้นเราไปกรึ่มกันที่ศรแดง พอสี่ทุ่มกว่าไปเดินดูน้องหนูกับกะเทยที่หน้าโรงหนังมูนไลท์...ชักจะง่วงก็พากันเดินทอดน่องมาทางสี่แยกคอกวัว เลี้ยวซ้ายเข้าถนนตะนาว มุ่งหน้ากลับบ้าน...แต่พอผ่านซากตึกทึบทึมนั่นเท่านั้น เสียงไฟลุกคึ่กๆ ความร้อนพุ่งพรวดเข้าใส่ ตามด้วยเสียงกรี๊ดร้องบาดใจ...โอ๊ย! ช่วยด้วย...