วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซาเล้งจากปรโลก

พิไลพร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองประปา

ดิฉันเคยเห็นและเคยได้ยินเสียงพวกซาเล้ง หรือเจ๊กขายขวดมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่อยู่ดินแดนมาจนขึ้นใจ และเคยนำมาล้อเล่นกับเพื่อนฝูงอยู่บ่อยๆ ด้วยความสนุกสนานตามประสาเด็ก

"มีขวกมาขายโอ๊ย! มีขวก มีเสกเหล็ก มีกาดาดหนัง สือพิมพ์มาขายโอ๊ย!"

จนกระทั่งเติบโตและมีครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแถวๆ ริมคลองประปาก็ยังมีซาเล้งทั้งชายและหญิง หนุ่มและแก่ถีบรถเข้ามาในหมู่บ้าน ดีดกระดิ่งบ้าง ร้องเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้านบ้าง

"มีขวดมาขาย มีกระดาษเก่ามาขาย..."

แต่ละบ้านล้วนมีกระดาษหนังสือพิมพ์ กล่องนมและกล่องทิชชูไปจนถึงขวดน้ำพลาสติก เป็นลำไพ่ก็มี เป็นการระบายขยะรกบ้านก็มี ดิฉันเองน่ะยกขวดเปล่าให้ซาเล้งเจ้าประจำไปเลย จะคิดเงินบ้างก็เฉพาะหนังสือพิมพ์เก่าและกล่องเปล่าเท่านั้นแหละค่ะ

เพื่อนบ้านบางคนก็มาบอกด้วยความหวังดีว่าพวกซาเล้งมักโกงตาชั่ง ระวังให้ดี! แต่ดิฉันหัวเราะเฉยเสีย...เขาจนกว่าเราค่ะ!

ขาประจำของดิฉันคือจีนชรารูปร่างผ่ายผอม ผิวเหี่ยวย่น ผมขาวโพลนชอบสวมหมวกแก๊ปสีแดง ฟันฟางแทบจะหมดปากแล้ว พวกซาเล้งคันอื่นๆ มาแต่เช้า หรือไม่ก็ตอนบ่ายจัด แต่ตาแป๊ะที่ว่ามักมาตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งของแกก็จำได้ทันที

ส่วนมากจะมาตอนบ่ายๆ วันเสาร์หรืออาทิตย์ที่ดิฉันหยุดงานอยู่กับบ้าน

ต่อมา มีข่าวว่าซาเล้งบางคนทำตัวเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ก็คนร้ายปลอมเป็นซาเล้ง เห็นบ้านไหนไม่มีใครอยู่ก็ฉวยโอกาสเข้าไปหยิบฉวยข้าวของมีค่า จนถึงกับบุกรุกเข้าไปจี้เจ้าของบ้านก็มี!

เมื่อเรื่องนี้หนาหูขึ้น ทางหมู่บ้านก็ติดป้ายห้ามซาเล้งเข้าไปเด็ดขาด...ตาแป๊ะซึ่งเป็นเจ้าประจำของดิฉันก็เลยหายหน้าไป

อันที่จริงก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนหรอกค่ะ เพราะคนในหมู่บ้านต้องทิ้งขยะทุกวันอยู่แล้ว ตรงหัวมุมซอยบ้านดิฉันมีถังขยะขนาดใหญ่ของ กทม.ถึง 3 ถัง สำหรับแยกประเภทขยะเปียก ขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย แต่ส่วนมากก็ทิ้งกันมั่วตามนิสัยตามใจคือไทยแท้!

หลังจากไม่มีซาเล้งเข้ามาในหมู่บ้านราวเดือนเศษ ดิฉันก็พบกับเรื่องแปลกประหลาดที่ชวนให้ขนหัวลุก

คืนหนึ่ง ดิฉันกำลังเคลิ้มหลับอยู่กับสามีและลูกชายวัยสามขวบ ก็มีเสียงคุ้นหูดังแว่วเข้ามาจนลืมตาตื่น นึกทบทวนว่าได้ยินเสียงอะไรกันแน่?

ครู่เดียว เสียงนั้นก็ดังขึ้นจนได้ยินชัดเจน เสียงกระดิ่งของซาเล้งค่ะ!

ตอนแรกดิฉันยังงุนงงอยู่ อาจจะเป็นเพิ่งจะงัวเงียขึ้นมาก็เป็นได้ สงสัยอยู่ว่า ทำไมซาเล้งถึงได้เข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้นะ? แต่พริบตาต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่า...เขาห้ามซาเล้งเข้าหมู่บ้านแล้วนี่นา! เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันนั่นเองที่ดิฉันจำได้ว่าเสียงกระดิ่งอันคุ้นเคยหู ก็คือกระดิ่งของตาแป๊ะขาประจำนั่นเอง!

แกอาจจะเล็ดลอดยามเข้ามาก็เป็นได้? แต่ทำไมถึงมาเอาป่านนี้? หรือว่าแกมีบ้านช่องอยู่ในละแวกนั้น? ขณะที่เสียงกระดิ่งค่อยๆ ห่างไกลเข้าไปด้านใน จนกระทั่งเงียบหายไป....

แต่ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับต่อ เสียงแว่วๆ ของกระดิ่งอันเดิมก็ดังใกล้เข้ามา ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็น ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที!

วูบหนึ่ง ดิฉันรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงหัวใจด้วยความหวาดระแวงบางอย่าง...พอดีเสียงกระดิ่งคุ้นหูมาดังขึ้นหน้าบ้าน....ดังอยู่เช่นนั้นและไม่มีวี่แววว่าจะห่างออกไปเลย

ปากคอแห้งผากเป็นผุยผงไปหมด แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าทำให้ลุกจากเตียงไปแหวกม่านหน้าต่าง มองผ่านมุ้งลวดออกไปยังถนนซอยหน้าบ้านที่มีแสงไฟฟ้าส่องให้เห็นรถซาเล้งคันนั้น...ตาแป๊ะสวมหมวกแก๊ปแดงคนนั้น กำลังเงยหน้ามองขึ้นมา

ดิฉันชาวาบไปทั้งตัว เข่าอ่อนแทบจะล้มแผละลง ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าอันคุ้นเคย นัยน์ตาเบิกค้างมองดูใบหน้าเหี่ยวย่นยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะโบกมือเหี่ยวแห้งเหมือนจะกล่าวคำอำลา....ซาเล้งคันนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนห่างหายลับไปจากแสงไฟและม่านน้ำตาของดิฉันเอง!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

เรื่องเล่าจากโฮปเวลล์

"ต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก ก.ม.11

ผมเป็นหนุ่มไฟแรงอยู่ชุมชนภักดีมาหลายปีแล้วครับ บางท่านอาจจะสงสัยว่าอยู่ที่ไหน? ไม่เคยได้ยิน! ก็ถือโอกาสบอกกล่าวว่าอยู่แถว ก.ม.11 ถนนวิภาวดีฯ มีทางรถไฟผ่านหน้าหมู่บ้านด้วยครับ

เนื่องจากผู้คนมากมายขึ้นตามความเจริญของบ้านเมือง หน้าบ้านผมเลยมีสถานีย่อย ก.ม.11 อยู่ระหว่างสถานีบางซื่อกับบางเขนไงครับ

ก่อนถึงสถานีบางเขนก็คือวัดเสมียนนารีที่มีข่าวโด่งดังเรื่องผีๆ สางๆ หวังว่าท่านผู้คนส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินข่าวเรื่องผีสาวคู่หนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นสองพี่ น้องถูกรถไฟทับตาย กลายเป็นผีดุวิญญาณเฮี้ยน แท็กซี่โดนหลอกหลอนหลายรายจนเป็นข่าวดังทั่วเมือง

เรื่องของเรื่องคือมีสองสาวโบกแท็กซี่แถวย่านรัชดาฯ ตอนดึกๆ ให้ไปส่งที่วัดเสมียนฯ น่าขนลุกตั้งแต่บอกปุ๊บก็ไปนั่งที่เบาะหลังปั๊บ ระหว่างทางก็ปรากฏรูปเงาวูบๆ วาบๆ มั่ง ขอให้ไปส่งในวัดมั่ง เล่นเอาแท็กซี่ใจคอไม่ค่อยดี ดึกเปลี่ยวในวัดน่ะชวนหนาวสันหลังอย่าบอกใคร...บางทีถึงจุดหมายก็หายตัวไปเฉยๆ

แท็กซี่ดวงซวยถึงกับเข้าเกียร์มือไม้สั่น ขนหัวลุกตั้งไปทันใด!

บางคนเจอะเจอเรื่องสยองขวัญยิ่งกว่านั้น...คือขับรถผ่านมาตอนดึกๆ เห็นผู้หญิงสองคนคลานไล่กันบนทางรถไฟ พอจ้องมองอย่างลืมตัวก็แทบช็อกตายคาที่...สองสาวนั่นน่ะแขนขาขาด เลือดโชกไปทั้งตัว แถมหันมาฉีกยิ้มเต็มใบหน้าเหวอะหวะอีกด้วย

แถวหน้าบ้านผมก็ไม่หยอกหรอกครับ ไหนจะต้นโพธิ์ต้นไทรร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็อบอุ่นดีอยู่เพราะมีร้านค้าทั้งผัดไทย ต้มเลือดหมู ยาดองเหล้า ผลไม้ ข้ามทางรถไฟไปฝั่งโน้นก็มีบะหมี่เกี๊ยว ขนมนมเนย น้ำส้มน้ำหวานมีพร้อม

แต่พอตกค่ำคืนเท่านั้นแหละ ยิ่งดึกยิ่งเปลี่ยว แทบจะหาผู้คนไม่เจอ มีแต่หมาจรจัดเห่าหอนชวนขนลุกชะมัด

ลือกันว่าเคยมีคนโดนรถไฟชนมั่ง คิดสั้นโดดให้รถไฟทับตายมั่ง วิญญาณเจ็บปวดเหล่านั้นก็มักหาโอกาสมาปรากฏตัวให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวเป็นประจำ!

ผมเองน่ะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ

คืนนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับไอ้โก้เพื่อนซี้ที่ซอยสวนผัก หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยว่าจะไปหาอะไรดื่มกินเพื่อความครึกครื้น ตามประสาหนุ่มโสดที่เงินเดือนออกตุงกระเป๋า...จุดหมายของเราคือพัฒน์พงษ์คนยากที่สี่แยกสะพานควายไงครับ

ที่นั่นมีผับมีบาร์เรียงรายเป็นสิบแห่ง โชว์เด็ดๆ ปลุกใจเสือป่า ไม่ว่าอะโกโก้ โคโยตี้ รูดเสา จนถึงวาดรูป สูบบุหรี่ เปิดโซดา...โอ๊ย! อย่าให้เล่ารายละเอียดเลยครับ เดี๋ยวจะไม่เหมาะ เอาเป็นว่าย่านนั้น หรือรู้จักกันในชื่อ "รังอีแร้ง" น่ะเป็นชุมทางของนักเที่ยวในย่านนั้นและใกล้เคียงก็แล้วกัน

ขอข้ามเรื่องการออฟเด็กไปโรงแรมม่านรูดที่อยู่แถวนั้น ไปถึงเรื่องขนหัวลุกนะครับ!

เราไม่กล้ายุ่งเกี่ยวเพราะกลัวโรคร้าย เดี๋ยวเอดส์จะถามหาเปล่าๆ ราวห้าทุ่มเศษก็จ่ายเงินบึ่งรถกลับรังนอน เพราะรุ่งขึ้นต้องไปทำงานกันทั้งคู่

ลมดึกปะทะหน้าตาอู้ๆ ยังดีที่เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อย...จนกระทั่งใกล้จะถึงจุดหมายอยู่ร่อมร่อเมื่อเห็นโครงโฮปเวลล์ตั้งทะมึน...น่าเกลียดน่ากลัวทั้งสองฝั่งทางรถไฟ...มองเห็นทางข้ามรางรถไฟอยู่ซ้ายมือ พอดีรู้สึกอ้อมแขนของไอ้โก้รัดเอวผมแน่นผิดปกติ พลางส่งเสียงกระเส่าอยู่ข้างหู

"ไอ้ต้น...ไอ้ต้น กูเห็นอะไรไม่รู้บนโฮปเวลล์น่ะ..."

"ไอ้บ้า เห็นอะไรวะ?" ผมหัวเราะเมื่อพารถข้ามทางรถไฟแล้วเลี้ยวขวา

"คนนั่งห้อยขาอยู่บนนั้นว่ะ...หรือจะฆ่าตัวตาย" เสียงไอ้โก้เหมือนคนไข้หนัก "เฮ้ย! ทางฝั่งนี้ก็มี ไม่เชื่อมึงก็เงยหน้าขึ้นมองซี่"

ผมโคลงหัว ตอนนั้นรถชะลอลงแล้ว เลยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเย็บวาบไปทั้งตัว...ร่างดำเมื่อมของชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนนั้นจริงๆ แต่ขาทั้งสองข้างของมันห้อยยาวลงมาเป็นวา...เล่นเอาหลุดปากร้องเฮ้ย! รถเป๋ไปจนเกือบล้มคว่ำ

พอตั้งหลักได้ผมตะบึงรถผ่านชุมชนภักดีไปยังสวนผักไม่คิดชีวิต ไอ้โก้กอดเอวผมแน่นจนถึงบ้านมัน...คืนนั้นต้องอาศัยนอนบ้านเพื่อน ขนหัวลุกไปนานเลยครับ!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

หอพักสยอง

ชาญชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพักผีดุ 0 พูดถึงเรื่องโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า เล่าให้ใครฟังก็ ไม่ค่อยเห็นภาพ หรือนึกรู้ถึงความรู้สึกตอนนั้นหรอก ครับ ยกเว้นแต่จะคุยกับคนที่เคยโดนผีหลอกมาแล้วถึงจะเข้าใจ

มีทั้งอาการตกตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดหายวับจากใบหน้า เย็นซ่าจากต้นคอลงไปถึงกลางหลัง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวคล้ายจะเป็นไข้ ขากรรไกรแข็งทื่อจนร้องไม่ออก...ในที่สุดก็อยากหายตัววับไป หรือไม่ก็ร้องไห้โฮให้หายอัดอั้นตันใจ!

ผมกลัวผีมาตั้งแต่ยังเด็กๆ อยู่ที่บางบัว ก่อนจะมาเป็น รปภ.อยู่ที่หอพักสตรีในย่านดินแดง! ที่นั่นเอง ผมเจอะเจอภูตผีดุร้ายสุดขีดแทบจะขาดใจตาย แต่เมื่อเหตุการณ์ขนหัวลุกผ่านไป ผมกลับไม่ได้โกรธเคืองภูตผีตนนั้นหรอกครับ กลับรู้สึกเวทนาด้วยซ้ำไป

เรื่องเป็นยังงี้ครับ...

ผมมีญาติชื่อน้าหวิงแกเป็นคนยามเก่าแก่ของหอพักแห่งนั้น พอดีมีคนเก่าลาออก น้าหวิงก็เลยใช้เส้นฝากฝังผมเข้าไปทำงานแทน...ส่วนมากมักจะได้กะดึกคือสี่ทุ่มไปจนถึงหกโมงเช้า บ้านช่องห้องหอหายห่วงอาศัยซุกหัวนอนกับน้าหวิงที่อยู่ละแวกนั้นเอง

คืนนั้นฝนพรำมาแต่หัวค่ำ ผมรับเวรต่อจากน้า หวิงพอดี!

มีห้องพักยามอยู่ข้างประตูหอพัก...แต่น่าสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงเปิด 24 ชั่วโมงก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นอพาร์ต เมนต์ก็ได้ มีอยู่ 5 ชั้น มีลิฟต์อำนวยความสะดวกพร้อม เมื่อขึ้นไปก็เป็นทางเดินตรงกลางระหว่างห้องพักซ้ายขวาที่เรียงรายกันเป็นตับ ทำให้ระเบียงด้านหลังหันมาทางประตูรั้ว ดูแปลกตาเอาการ

ลุงหวิงเล่าว่าก่อนนั้นน่ะ มีเรื่องฆ่าแกงกันหลายรายแล้ว ส่วนมากเกิดจากความหึงหวง แม้แต่ การฆ่าตัวตายก็มี คือกระโดดมาจากระเบียงชั้นบนบ้าง กินยาตายบ้าง ที่น่าสยองก็คือเชือดเส้นเลือดที่ข้อมือนอนแช่น้ำตายในอ่าง กว่าจะพบศพก็วันรุ่งขึ้น...

ว่ากันว่าผีดุนักหนา!

มีทั้งเข้าไปเคาะห้องข้างๆ กับส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนจนต้องย้ายหนีไปหลายรายแล้ว...คนเช่าส่วน มากเป็นผู้หญิงทำงานบริษัท นักศึกษา คนทำงานกลางคืนก็มี

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็พอดีแว่วเสียงผู้หญิงกรีดร้องมาจากชั้นบน ครั้นเผ่นออกไปเงยหน้ามองฝ่าละอองฝนบางๆ ขึ้นไปก็เห็นสาวหนึ่งในชุดสีดำบนระเบียงชั้นสามกำลังโบกไม้โบกมือ ส่งเสียงลงมาได้ยินชัดเจน

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย..."

ผมละล้าละลัง เพราะตัวเองไม่มีหน้าที่ขึ้นไปจุ้นจ้านบนนั้น แต่มีพนักงานประจำเคาน์เตอร์กับ รปภ.คอย ดูแลอยู่...คิดอีกที เธอกำลังขอความช่วยเหลือจากผมนี่นา!

พริบตานั้น สาวชุดดำก็วิ่งหายเข้าไปในห้อง ไม่ถึงอึดใจเธอก็วิ่งแน่วออกจากอาคารที่โดดเด่นขึ้นไปบนผืนฟ้าสีหมึก...เมื่อเข้ามาใกล้ถึงได้เห็นชัดว่าเธออยู่ในชุดนอนสีดำ ผมยาว ผิวขาว หน้าตาสะสวยที่ดูเหมือนจะคุ้นหน้า เธอปราดเข้ามาหาผมที่ถอยหลังเข้ามาในตู้ยาม กระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง

"ช่วยด้วย! ผีค่ะ...มันจะฆ่าฉัน..." เธอโพล่ง หน้าอกหน้าใจสั่นกระเพื่อม น่าใจหาย ก่อนจะเล่าว่า ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็มีรูปเงาเลือนรางคล้ายวุ้นของผู้หญิงวัยเดียวกันกลุ่มหนึ่ง เข้ามาห้อมล้อมหัวเราะต่อกระซิก บ้างก็กระซิบกระซาบยั่วเย้า บอกว่า พวกเธอกินยาตาย โดดตึกตาย ถูกแทงตาย! มาอยู่ด้วยกันเถอะแล้วจะพบแต่ความสุข...

"ฉันไม่อยากตาย" สาวชุดดำกระหืดกระหอบ หันไปมองที่ระเบียงชั้นสามไม่หยุดหย่อน "ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยฉันด้วย..."

"อะไรกันครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย" ผมพูดเป็นเชิงปลอบใจ แต่เธอส่ายหน้า

"นั่นไง! สาวชุดดำหันขวับไปชี้มือสั่นระริก "พวกมันยืนเกาะระเบียงเต็มไปหมด กำลังมองดูเราด้วย...ดูซี่! มันจ้องเป๋งเชียว"

เสียงยืนยันสั่นเครือทำให้ผมเย็นวูบที่ต้นคอ แข็งใจปลอบโยนพลางหันมอง

"ทำใจให้สบายเถอะครับ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ผมคิดว่า..." เสียงผมขาดหายไปเมื่อพบว่ากำลังพูดอยู่กับความว่างเปล่า ท่ามกลางความเย็นชื้นของฤดูฝน แสนจะเปล่าเปลี่ยวและชวนให้เหน็บหนาวเข้าไปถึงหัวใจ...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดเดิม...

นรกเป็นพยาน! บัดนี้มีร่างของหญิงคนหนึ่งกำลังยืนเกาะลูกกรงระเบียง ก้มหน้าลงมามองเศร้าๆเพียงเดียวดาย...ผู้หญิงในชุดนอนสีดำคนนั้นเอง!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มอไซค์ผีสิง

ดิฉันเป็นครูประจำชั้น ป.5 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑล ซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก แต่ดิฉันมักจะกลับถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน เพราะหลังจากโรงเรียนเลิกตอนบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ดิฉันยังต้องสอนพิเศษต่ออีกสองชั่วโมง

หลังจากนั้นก็ต้องตามไปสอนพิเศษลูกศิษย์ถึงบ้านอีกหนึ่งราย ใช้เวลาสองชั่วโมงเหมือนกัน...และนั่นก็ทำให้ดิฉันต้องเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก!

"น้องโอ" เป็นเด็กผู้ชายน่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน แต่น่าหนักใจมากตรงที่แกไม่ชอบเรื่องเรียนเอาซะเลย ไม่ใช่โง่นะคะ เพียงแต่ไม่อยากเรียนซะงั้น ทำให้ผลการเรียนต่ำมาก...และแน่ละ! คุณพ่อคุณแม่กลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะปีหน้าก็ต้องไปสอบเข้า ม.1 แล้ว

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็เลยมาขอร้องดิฉันให้ไปสอนตัวต่อตัวในช่วงเย็น ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ

ก่อนหกโมงเย็น ดิฉันจะไปถึงบ้านน้องโอ รอให้ลูกศิษย์สุดแสบอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อยแล้วลงมาทำการบ้านกัน...ความลำบากอยู่ตรงนี้ละค่ะ เด็กที่ไม่รักเรียนจะอิดออดจนเราอ่อนใจ...ที่จริงราวทุ่มครึ่งดิฉันควรจะกลับบ้านได้แล้ว แต่บางคืนกว่าจะสอนการบ้านเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแน่ะค่ะ

คืนที่เกิดเหตุก็เช่นกัน!

น้องโอไม่ยอมเข้าใจเลขที่ดิฉันสอนซะที ถึงกับเป็นน้ำหูน้ำตาเลยทีเดียว ดิฉันต้องค่อยๆ ปลอบและให้กำลังใจ พยายามอารมณ์เย็นที่สุด...และแล้วก็เสร็จจนได้ แต่พอเหลือบมองนาฬิกา โอ้โฮ! สามทุ่มจะครึ่งแล้วเรอะเนี่ย?

ดิฉันโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าไม่ต้องห่วงนะ ปลอดภัยดี กำลังจะกลับแล้ว จากนั้นก็ลาพ่อกับแม่น้องโอ พวกเขาเกรงใจดิฉันมาก และให้เงินค่าแท็กซี่มาเยอะเชียว แต่ดิฉันขอไม่รับ โดยบอกว่าบ้านอยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร ดิฉันนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนเดิมก็สะดวกดีอยู่แล้ว

ซอยบ้านน้องโอค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ แต่ไม่เปลี่ยว บ้านช่องหนาแน่นและมีไฟถนนสว่างไสว มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา

ทว่า คืนนั้นเมื่อก้าวออกจากประตูบ้านน้องโอ ดิฉันรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาเฉยๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร รู้แต่ลมแรงเหมือนกัน...นี่ละค่ะ ปลายฝนต้นหนาว!

ยอดไม้เอนไหวซู่ซ่า เสียงใบไม้แห้งแกรกกรากลากไปกับถนน เอ...คืนนี้ผู้คนเข้าบ้านกันหมด ถนนว่างเปล่า ดูสว่างเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟ...

ทันใดนั้น ดิฉันสะดุดหัวคะมำ ใจหายวาบ นึกว่าจะล้มลงไปฟาดพื้นแล้วซิ แต่ดีนะที่ยั้งตัวไว้ได้ กระนั้นก็รู้สึกขวัญหาย หัวใจเต้นแรง ตกใจมากจนตัวชา...พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากดิฉันไปราวไม่ถึง 10 เมตร

เอ๊ะ! มาได้ยังไง? เมื่อกี้ไม่เห็น หรือว่านัยน์ตาเราไม่ดีเอง?

มอเตอร์ไซค์คันนั้นจอดตั้งขาตั้งเดี่ยว คนขี่นั่งคร่อมอานคล้ายจะรอผู้โดยสารเข้าไปหา ตอนสะดุดตาตะกี้ ข้อเท้าดิฉันพลิกไปหน่อยเลยแพลงค่ะ ปวดตุ๊บๆ เชียวละ แต่ก็ไม่เป็นไร...พอเดินเข้าไปถึง ดิฉันก็บอกจุดหมายปลายทางเสียงใสชัดเจน

คนขับหันมาช้าๆ โดยไหล่ของเขาไม่ขยับเขยื้อนเลย มีเพียงศีรษะที่หมุนมาเผชิญหน้ากับดิฉัน...

เอ๊ะ! อะไรนั่น หน้าเขาเป็นอะไร ดำปี๋ไปซีกหนึ่งอย่างนั้น! ดิฉันเพ่งมอง ทีแรกคิดว่าคงเป็นปานขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่หรอกค่ะ ดิฉันแทบลืมหายใจเมื่อจ้องตากับเขา...ตาคู่นั้นเหมือนจะไร้แวว ใบหน้าเฉยเมย เลื่อนลอย...

และแล้ว ดิฉันก็ถอยกรูด ร้องหวีดอย่างลืมตัว สีดำเป็นแถบบนใบหน้าเขาไม่ใช่ปานหรอกค่ะ นี่มันเป็นใบหน้าของซากศพกำลังเน่า เนื้อดำและเปื่อยยุ่ย ขณะที่หน้าอีกซีกหนึ่งยังดูคล้ายปกติ

ใครจะอยู่ต่อล่ะคะ? ดิฉันหันหลังได้ก็วิ่งกลับไปที่ประตูบ้านน้องโอ..ตะปบมือกดออดอย่างบ้าคลั่ง...แม่น้องโอวิ่งเข้ามารับเข้าบ้าน ทุกคนตกใจที่เห็นดิฉันหวาดกลัวแทบเสียสติ

สิ่งที่ดิฉันพบคือผีอย่างไม่ต้องสงสัย หลายปีก่อนมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างถูกผู้ร้ายจี้ชิงทรัพย์ และฆ่าทิ้งในซอยนี้ เวลาผ่านไปนาน แต่วิญญาณที่น่าสงสารยังสิงสู่อยู่ที่นั่น

ดิฉันต้องแจ้งทางบ้านว่าไม่สบาย ต้องค้างบ้านน้องโอ ดีนะที่รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์

พ่อแม่น้องโอขอให้ดิฉันสอนลูกเขาต่อไป แต่นับจากนั้น คุณพ่อน้องโอต้องขับรถมาส่งถึงบ้านดิฉันทุกวัน เพราะดิฉันไม่ยอมเดินในซอยนั้นตามลำพังอีกเลยค่ะ!

ลาตาย

แก้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปิ่นเกล้า

ดิฉันเคยได้ยินเรื่องลางสังหรณ์มาพอสมควร เช่น ฝันร้ายในคืนก่อนเดินทางว่าประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เกิดความหวาดกลัวจนไม่กล้าไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุจนถึงบาดเจ็บและล้มตาย เป็นต้น

ส่วนลางสังหรณ์ของผู้อื่นก็คือ เห็นคนรู้จักกันเดินมาตอนกลางวันแสกๆ แต่ไม่มีเงาบ้าง หรือมีเงาแต่หัวขาดบ้าง จะทักก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าจะถูกโกรธเคือง ทั้งๆ ที่มีเคล็ดว่าถ้าทักแล้วจะทำให้คนถูกทักพ้นเคราะห์

ในที่สุดคนที่ไม่มีเงาก็มีอันต้องเสียชีวิตไปจริงๆ ส่วนมากมักจะเป็นอุบัติเหตุค่ะ

ดิฉันเองเคยประสบกับเรื่องทำนองนี้มาแล้วเมื่อราว 4-5 ปีก่อน แต่ยังจดจำได้แม่นยำไม่มีวันลืมเลือน!

ขณะนั้นดิฉันเปิดร้านเสริมสวยเล็กๆ อยู่แถวปิ่นเกล้า เป็นย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะมีทั้งศูนย์การค้า บาร์คาราโอเกะ โรงนวดแผนโบราณและคาเฟ่ มีหอพักหรือห้องแบ่งเช่ามากมาย คนเช่ามักจะทำงานสถานบริการ ส่วนหนึ่งก็เป็นลูกค้าขาประจำของดิฉันด้วย

"นุช" เป็นนักร้องคาเฟ่วัยต้นยี่สิบ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาสะสวย มักจะติดรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีเสมอ นิสัยช่างพูดช่างคุย กิริยามรรยาทก็สุภาพเรียบร้อย ก่อนไปทำงานมักจะมาสระผมที่ร้านดิฉันเกือบทุกวัน

เธอเล่าว่าเป็นคนปราณบุรี มักจะหาโอกาสกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เป็นประจำ...โดยเฉพาะปีใหม่กับสงกรานต์จะไม่ละเว้นเด็ดขาด!

บางวันก็มีแฟนอายุไล่เลี่ยกันขี่รถมอเตอร์ไซค์มารับกลับไปห้องเช่า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ขับรถไปส่งที่คาเฟ่ ส่วนขากลับนุชจะนั่งตุ๊กๆ กลับเอง เธอเคยเล่าว่าแฟนที่ชื่อวินต้องพักผ่อนเพราะต้องไปทำงานตอนเช้า

เหตุการณ์น่าขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนใกล้ปีใหม่นั่นเอง!

นุชมาสระผมที่ร้าน สังเกตดูหน้าเศร้าๆ ท่าทางหงอยเหงา ไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนเคย ดิฉันลองไต่ถามดูก็รู้สาเหตุว่าผู้จัดการไม่ยอมให้ลางาน เพราะปีใหม่แขกเยอะ นุชเองก็ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องเจ้าเสน่ห์ หรือระดับดาราที่เรียกแขกได้ดีคนหนึ่ง

"คาเฟ่อื่นที่นุชเคยร้องเพลงก็ไม่เคยมีปัญหา" เธอพูดพร้อมกับทำตาแดงๆ "แต่ที่นี่ถึงกับบอกว่าถ้าไม่มาทำงานตอนปีใหม่ก็ลาออกไปเลย...ออกก็ออกซีคะ! คาเฟ่อื่นๆ ก็ยังมี"

"ถ้าตัดสินใจได้แล้วจะทำหน้าเศร้าทำไมล่ะ?"

"นุชเสียใจที่เคยบอกปัดที่อื่นไปน่ะซีคะ ทั้งๆ ที่เขายืนยันว่าจะลาหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าลอยกระทง สงกรานต์หรือปีใหม่ก็ไม่มีปัญหา...แต่ที่นี่คิดจะเรียกแขกลูกเดียว เอาจับฉลากของขวัญมาล่อ แล้วบังคับนักร้อง"

ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเต็มที เพราะนักร้องสวยๆ แถมน่ารักอย่างนุชไม่มีวันตกงานง่ายๆ เป็นแน่...

หลังจากสระไดร์ ทำเล็บเท้าเล็บมือเสร็จ นุชก็ยกมือไหว้ล่ำลา อวยพรปีใหม่ให้กันและกันเสร็จสรรพ...จู่ๆ เธอก็อยากนวดหน้าที่ไม่เคยทำมาก่อน ดิฉันเแซวว่า กลับบ้านคราวนี้พ่อแม่คงจะจำลูกสาวแทบไม่ได้ เพราะสวยกว่าเดิมจนผิดหูผิดตา!

พอดีมีลูกค้าขาประจำที่เป็นแม่บ้านเข้าร้านมา 2-3 คน นุชยกมือไหว้ สวัสดีปีใหม่ พวกคุณป้าคุณน้าก็อวยชัยให้พรเธอ...พอดีมีเสียงแตรดังขึ้นเบาๆ วินนั่นเองที่มารับแฟนตามเคย...นุชทำท่าจะออกจากร้านแล้ว แต่กลับหันมายกมือไหว้ ล่ำลาดิฉันอีกครั้ง

...คงใจลอยหรือดีใจที่เห็นหน้าคนรักก็ไม่ทราบ ที่ทำให้นุชมาไหว้ลาดิฉันซ้ำสอง

ก่อนจะปิดร้านคืนนั้น นุชก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินมาแวะอำลาดิฉันที่ร้านอีก...บอกว่าวินจะไปส่ง ขึ้นรถที่ท่าพระ แถมยกมือไหว้ลาทุกๆ คน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก...ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าร้านเราเป็นทาง ผ่าน...จนกระทั่งขึ้นไปซ้อนท้ายแล้วนุชยังหันมาโบกมือพลางยิ้มหวาน

"ลาก่อนนะคะพี่แก้ว สวัสดีปีใหม่ค่ะ ลาก่อน..."

รถแล่นตะบึงไปทางปากซอย ดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว เสียววาบไปถึงหัวใจ ม่านตาพร่าพรายไปครู่ใหญ่...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุเกิดจากอะไรแน่?

วันรุ่งขึ้นก็ได้รับข่าวร้ายว่านุชไปไม่ถึงบ้านเกิดที่ปราณบุรี...ไปไม่ถึง สถานีขนส่งสายใต้ด้วยซ้ำ เพราะรถมอเตอร์ไซค์ของหนุ่มสาวคู่นั้นชนท้ายรถเมล์จนเสียชีวิตคาที่ทั้งสอง คน

การล่ำลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนุชจะถือว่าเป็นลางมรณะได้ไหมคะ? แต่ดิฉันนึกแล้วขนหัวลุกค่ะ


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

ห้องน้ำปั้มน้ำมัน

ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ ดิฉันต้องขอบอกว่าตัวเองเป็นคนกลัวผีมากที่สุด แต่ไม่เคยเจอแบบจังๆ นะคะ จะมีบ้างก็แค่ฝันหรือไม่ก็ผีอำ ซึ่งดิฉันไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าเป็นผีจริงๆ คือถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วท่านว่าการถูกผีอำนั้นเกิดจากเลือดลมเดินไม่สะดวก

ดิฉันคิดว่าตัวเองยิ่งแก่ก็ยิ่งกลัวผี แปลกดีไหมล่ะคะ? ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง แต่กลัวผีขึ้นสมองเลยละ! เมื่อตอนสาวๆ ดิฉันนอนคนเดียวได้สบายมาก แม้แต่ตอนไปดูงานถึงยุโรป ต้องนอนพักคนเดียวในโรงแรม ดิฉันก็ดับไฟนอนได้โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ซิคะ อายุสี่สิบปลาย มีลูกชายกำลังจะวัยรุ่นสองคนแล้ว ดิฉันกลับขี้ขลาดกว่าแต่ก่อน

ยังสงสัยตัวเองว่า ทำไมตอนนี้นอนคนเดียวไม่ได้ อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่กล้า มันกลัวไปหมด สามีกับลูกไม่เข้าใจหรอกค่ะ เขาหัวเราะไม่เชื่อว่าดิฉันกลัวจนเป็นทุกข์เหลือเกิน เวลาที่พ่อลูกเขาออกไปเที่ยวข้างนอกกันแล้วกลับดึกๆ น่ะ ทรมานจริงๆ

คุณแม่ดิฉันบอกว่ามันอาจจะเป็นอาการของผู้หญิงใกล้จะวัย "เลือดจะไปลมจะมา" อาการเมนโนพอสหรือใกล้หมดประจำเดือนก็มักจะกลัวไม่มีเหตุผล

ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวเลยค่ะ แต่ทำไงได้ คืนไหนสามีไปต่างจังหวัดก็ต้องลากลูกๆ มานอนเป็นเพื่อน

เมื่อเดือนเมษายนนี่เอง เราไปเที่ยวหัวหินกันค่ะ เช่ารถตู้ไปจะได้ไปกันหลายๆ คน มีครอบครัวเรา และเลขาฯ ของสามีกับแฟน เราสนุกกันมาก เช่าโรงแรมอยู่ตั้งห้าคืนแน่ะ

ที่หัวหินไม่มีเรื่องผีหรอกค่ะ ดิฉันหมายถึงเราไม่ได้เจอประสบการณ์สยองขวัญกันที่นั่นสักนิดเดียว...แต่ตอนขากลับนี่ซิคะ ดิฉันต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่น่าขนหัวลุก!

เราออกเดินทางจากหัวหินมาตอนเย็นแล้วละค่ะ...พอผ่านชะอำ ผ่านเพชรบุรีถึงวังมะนาวก็ค่ำแล้ว เราบ่ายหน้าเข้ากรุงเทพฯ รถเยอะน่าดู เอ...ชักอยากเข้าห้องน้ำแล้วซิ แต่ก็กลัวคนอื่นรำคาญเลยกลั้นไว้ก่อน

รถแล่นมาถึงไหนก็จำไม่ได้ ดิฉันไม่ค่อยถนัดเส้นทางนี้ รู้แต่คอยมองหาปั๊มเจ็ทเพราะห้องน้ำห้องท่าสะอาด และเด็กๆ จะได้ลงไปซื้อน้ำและของกินเล่นได้ด้วย

ทว่า รถแล่นมาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นปั๊มน้ำมันที่หมายตา อีกทั้งธรรมชาติก็เรียกร้องอย่างสุดกลั้นแล้วนะ สมน้ำหน้า! ก่อนออกจากหัวหินกินน้ำหวานเข้าไปตั้งเยอะตั้งแยะ

เมื่อทนไม่ไหว ดิฉันก็สะกิดคนขับว่าเจอปั๊มไหนก็ช่วยแวะหน่อยนะ เท่านั้นแหละดูเหมือนสมาชิกทุกคนในรถจะพยักพเยิด ดีอกดีใจกันใหญ่ว่าแต่ละคนก็ปวดฉี่แต่กลั้นไว้เพราะเกรงใจ คนขับรถร้องบอกอย่างอารมณ์ดีว่าผมก็ปวดเหมือนกัน!

ฉับพลัน เราเห็นปั๊มน้ำมันข้างหน้า คนขับหักเลี้ยวเข้าไปทันที พอรถจอดเราก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เปิดประตูได้ก็เดินแกมวิ่งเข้าไปยังห้องที่สร้างไว้หลายห้องติดกัน เหมือนห้องน้ำในโรงเรียนยังไงยังงั้น

น่าสะกิดใจว่าห้องน้ำไม่เปิดไฟเลย มันมืดไปหมด มีแต่แสงไฟนีออนจากร้านขายของเล็กๆ ในปั๊มสาดส่องเข้าไป...

ตอนนั้นมันปวด...ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะมองซ้ายมองขวาแล้ว ดิฉันลิ่วเข้าห้องน้ำมืดๆ ปิดประตูได้ก็ปล่อยซะโล่งเลย หูได้ยินเสียงห้องข้างๆ เอาขันแกว่งน้ำเล่น...เอ๊ะ! ใครกันนะ?

ดิฉันตะโกนเรียกลูกๆ แต่เงียบแฮะ มีแต่เสียงเอาขันสังกะสีแกว่งน้ำไปมา ดิฉันเลยรีบออกจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องขนลุกซู่ที่ในห้องน้ำอันเงียบสงัด มืดทะมึนนี้มีแต่ดิฉันคนเดียว

เมื่อมองผ่านห้องต่างๆ ราวห้าหกห้องไปถึงสุดทางก็มีแต่ความเงียบ ทว่าห้องข้างๆ ที่ดิฉันเข้า คือห้องที่สองถัดจากห้องแถวริมสุดทางออกนี้ประตูปิดอยู่...และแล้วก็มีเสียงผู้หญิงบ่นอะไรงึมงำๆ ดังแว่วออกมา

ดิฉันรู้สึกงงงัน...ผีเรอะ?! แปลกที่กลับไม่กลัวแต่สงสัยว่านี่มันอะไรกัน?

ดิฉันรีบเดินออกมาพบลูกๆ กับสามีและคนอื่นๆ ที่รออยู่ เขางงว่าดิฉันวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่มืดร้างได้ยังไง ห้องน้ำที่เปิดใช้น่ะสร้างใหม่ สว่างไสวอยู่ด้านตรงข้าม ห่างจากห้องน้ำนี้ไปสิบกว่าเมตรเท่านั้น ดิฉันดันไม่เห็นและหลุดมาเข้าห้องน้ำสยองขวัญนี้คนเดียว

ต้องหันกลับไปมองอย่างเสียวไส้ ขณะปีนขึ้นรถทันที

กลับมาถึงกรุงเทพฯ ยังแสยงอยู่เลยค่ะ คิดๆ ดูแล้วเหมือนมีอะไรมาบังตา หลอกล่อให้ดิฉันไปโดนผีหลอกคนเดียว

แต่เออแน่ะ! ทีโดนผีหลอกจริงๆ ดิฉันกลับไม่กลัว เอาแต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ใครหนอมาแกล้งแกว่งขันเล่น เขาจงใจหลอกหรือตั้งใจจะทำให้ดิฉันคิดว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำข้างๆ ดิฉันจะได้ไม่กลัวผี...เขามาดีหรือร้ายกันแน่คะ?!

เรื่องเล่าจากคุณ ดาเรศว์

ป่าช้าบางแสน

สมัยหนุ่มๆ ผมชอบไปเที่ยวบางแสนกับเพื่อนฝูงในบริษัทที่กรุงเทพฯ บังเอิญมีเพื่อนเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยครูบางแสน (ม.บูรพาในปัจจุบัน) เวลาเรายกโขยงไปทีก็นัดแนะเพื่อนอาจารย์มาร่วมวงด้วยเป็นประจำ จนพลอยสนิทสนมคุ้นเคยกันทุกคน

ครั้งหนึ่ง มีเพื่อนชื่อโก้-ฉายา "แฟมิลี่แมน" หรือ "พ่อบ้านแสนดี" พาครอบครัวไปเที่ยวด้วย คือเมียกับลูกชายชื่อตั๋นอายุราว 8-9 ขวบได้ เปิดห้องโรงแรมชายหาดอยู่ใกล้ๆ กัน อาจารย์กิตติก็มาสมทบด้วยตามเคย

ตอนบ่ายแก่ๆ เรามาตั้งวงกันที่ข้างสระน้ำหน้าโรงแรม ถัดไปเป็นบังกะโลที่บังเอิญเต็มหมด ไม่งั้นเราก็จะจองหลังใหญ่เอาไว้สรวลเสเฮฮากันได้เต็มที่

แหม! ถึงแม้สมัยนั้นสาวๆ จะนุ่งวันพีซโชว์ขาอ่อนขาวๆ อวบๆ อย่างเดียวพวกผู้ชายก็ตื่นเต้น จ้องมองแทบจะไม่กะพริบตาไปตามๆ กันแล้ว วันนั้นพ่อเจ้าตั๋นนึกยังไงไม่รู้ เล่าว่าลูกชายจอมซนคนเดียวนั่นเก่งทุกอย่าง ไม่ว่าปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา เสียอย่างเดียวเท่านั้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่าจะหัดให้ลูกก็ไม่มีโอกาสซักทีเพราะบ้านไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง

อาจารย์กิตติโพล่งว่า "ง่ายนิดเดียว ถ้ากล้ากระโดด น้ำลงสระนั่นหนสองหน รับรองว่าว่ายน้ำเป็นแน่ๆ ว่าแต่จะใจถึงหรือเปล่าล่ะ?"

"ถ้าตั๋นจมน้ำตายล่ะ ใครจะช่วย?" เด็กจอมแก่นแย้ง

"พ่อตั๋นไง ไปยืนรอในสระ พอตั๋นโดดตูมพ่อก็รับ... ขึ้นไปบนสปริงบอร์ดแล้วกระโจนลงมาเลย"

เด็กชายตั๋นต่อรองว่าขอเป็นกระโดดข้างสระได้ไหม เพราะข้างบนมันน่าหวาดเสียวเกินไป...อ้อ! ต้องมีค่าจ้างด้วยนะ! เล่นเอาอาจารย์กิตติบอกว่าได้เลย ถ้าตั๋นกล้าโดดลุงจะจ่ายให้ยี่สิบบาท!

"ตกลงฮะ" เด็กชายตอบอย่างไม่ลังเลแล้วลุกขึ้นยืน แม้ว่าแม่จะห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเสียง เล่นเอาเจ้าโก้ผู้พ่อรีบเผ่นลงสระไปรอรับลูกชาย เด็กจอมแก่นไปหยุดอยู่ข้างขอบสระแล้วกระโดดตูมในท่าทิ้งลูกมะพร้าวทันที แม่วิ่งตามไปดูก็เห็นลูกชายจมดิ่งก่อนจะโผล่ขึ้นมาตาลีตาเหลือก พ่อของมันรีบคว้าตัวเข้าหาขอบสระ ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว

พอกลับมานั่งตามเดิม อาจารย์กิตติก็ส่งเงินให้ยี่สิบบาทตามสัญญา ถามว่ากลัวมั้ย? เจ้าตั๋นบอกได้ตังค์แล้วไม่กล้ว! แม่ที่กำลังเช็ดตัวให้ลูกชายยังอดหัวเราะไม่ได้ แต่เด็กจอมแก่นกลับเรียกร้องโบนัสหน้าตาเฉย

"ลุงกิตติต้องเล่าเรื่องผีให้ตั๋นฟังมั่งซีฮะ พ่อบอกว่าแถวโรงเรียนลุงน่ะผีดุไม่ใช่หรือฮะ? แล้วตั๋นจะกระโดดน้ำแถมให้อีกสองที"

ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่อาจารย์กิตติเอง ก่อนจะเล่าเรื่องผีตามสัญญา!

ที่หน้าวิทยาลัยนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่มาก่อน ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่วัดตามความเจริญของบ้านเมือง ป่าช้าเก่าก็เลยกลายเป็นสวนมะพร้าวร่มครึ้ม ไม่ว่าอาจารย์หรือนักศึกษาชอบใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปออกถนนใหญ่ โดยตั้งต้นที่ร้านข้าวแกงเจ๊เล็ก แม้ว่าในสวนนั้นค่อนข้างจะเปลี่ยว แม้แต่ตอนกลางวันก็น่าวังเวงใจชอบกล

มีคนถูกผีหลอกที่นั่นหลายราย คือเห็นเงาวับๆ แวมๆ อยู่แถวโคนต้นมะพร้าวทั้งที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอยู่เลย

บางคนขี่จักรยานไปดีๆ ก็มีเสียงตุ๊บๆๆ ดังขึ้นข้างหลังเล่นเอาสะดุ้งโหยง จนรถแทบล้ม...เสียงลูกมะพร้าวหล่นแท้ๆ แต่กลับไม่มีให้เห็นแม้แต่ลูกเดียว

วันหนึ่ง อาจารย์กิตติก็เจอะเจอเข้ากับตัวเอง!

ขณะที่เพิ่งปั่นรถออกจากหน้าร้านข้าวแกงไปในสวนได้ไม่ถึงห้านาที ก็เห็นร่างตาแป๊ะหลังโกง สวมเสื้อผ้าแบบคนจีนสีดำ มายืนโบกมืออยู่ข้างต้นมะพร้าวข้างหน้า ห่างออกไปราวสิบก้าว...แต่เมื่ออาจารย์ชะลอรถเข้าไปจอดที่นั่นกลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่เงา...

"อะไรกันวะ?" เขาพึมพำพลางเกาหัวแกรก เสียงยอดมะพร้าวไหวซ่าทำให้ขนลุกเมื่อนึกถึงเรื่องผี รีบปั่นจักรยานพุ่งออกไปทันที

ฉับพลันนั้น เกิดมีแรงปะทะดังลั่นเข้าที่ล้อหลังจนรถเสียหลักล้มโครม แข้งขาถลอกปอกเปิกไปหมด แต่ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านั้น...และไม่กล้าใช้ทางลัดผีดุนั่นอีกต่อไป

เจ้าตั๋นนั่งอ้าปากค้าง ลืมตาโพลงอย่างตื่นเต้นตลอดเวลา หน้าตาไม่เหลือความแก่นแก้วเหลืออยู่อีกเลย...ไปบางแสนเที่ยวนั้นนอกจากจะได้ฟังเรื่องผีแล้วยังทำให้เจ้าตั๋นว่ายน้ำด้วยครับ!

คุณยายที่อ่าวมะนาว

"น้องเฟิร์ส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชายหาด

หนูเป็นชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิดค่ะ แต่คนส่วนมากจะรู้จักหัวหินมากกว่าประจวบฯ เพราะหัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังมาหลายสิบปีแล้ว ส่วนประจวบฯ เป็นเมืองเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆ ค่ะ

พวกเราชอบไปเที่ยวอ่าวมะนาวกัน ดูๆ แล้วมันกลมเหมือนลูกมะนาว ดูวิวสวยๆ ลมพัดเย็นๆ น่านอนเล่นที่เก้าอี้ผ้าใบใต้ต้นไม้ที่สุด

เพื่อนๆ หนูชอบเล่นทายอะไรเอ่ยกัน ทั้งปัญหาเชาวน์และปัญหาทั่วๆ ไป อย่างอะไรเอ่ย สองตีนเดินมาหลังคามุงกระดาษ? คำเฉลยคือคนกางร่มเดินไงล่ะคะ บางวันเล่นทายกันว่าจังหวัดอะไรเอ่ยขึ้นต้นด้วยป.ปลา?

ประจวบแน่ล่ะค่ะ ปราจีนบุรี ปทุมธานี...บางคนนึกต่อไม่ออกก็บอกว่า...ปราณบุรี! เราต้องท้วงกันใหญ่ว่าเป็นอำเภอ ไม่ใช่จังหวัด แต่คนทาย (ชื่อตากุ่ย) ก็ยืนยันว่าปู่เขาเรียกเมืองปราณบุรีนี่นา ต้องเป็นจังหวัดซี่ เราหัวเราะตัวงอ ขำกลิ้งไปตามๆ กัน

โธ่เอ๊ย! นั่นเป็นเมืองเก่ามาตั้งเกือบร้อยปีแล้ว คุณครูประวัติศาสตร์สอนก็ไม่รู้จักจำ..เปลี่ยนชื่อตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แล้วจ้ะ

หนูมีเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังด้วยค่ะ!

วันอาทิตย์นั้นเราไปเที่ยวอ่าวมะนาวกันตอนบ่าย พวกพ่อแม่ก็ล้อมวงคุยกันโต๊ะหนึ่ง พวกเด็กๆ ก็อีกโต๊ะหนึ่ง เพื่อนทั้งหญิงและชายลงไปเล่นน้ำทะเลกันบ้าง วิ่งเล่นที่ชายหาดกันบ้าง แต่หนูเล่นน้ำจนเบื่อ ชอบนอนที่เก้าอี้ผ้าใบกินขนมกับน้ำหวาน มองดูวิวข้างหน้ายังเพลินกว่าเป็นไหนๆ

คลื่นทยอยกันเข้ากระทบฝั่งเสียงสาดซ่า ลมเย็นๆ พัดมาแสนสบาย..แม่ค้าเร่ขายของกินผ่านไปมาแต่หนูไม่สนใจหรอก เพราะกินกับพ่อแม่จนอิ่มตื้อแล้วนี่คะ

พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน..หนูเห็นคุณยายผมขาวมานั่งยิ้มอยู่ข้างๆ หนูนี่เอง หน้าตาใจดีมากเลย แล้วคุณยายก็เล่านิทานให้หนูฟังค่ะ..

..หมู่บ้านอ่าวน้อยมีตายายคู่หนึ่ง ชื่อตาม่องล่ายกับยายรำพึง มีอาชีพหาปลาและทำไร่ ทั้งสองมีลูกสาวคนเดียวชื่อยมโดย เธอเป็นคนสวยมากและขยันขันแข็ง ทำให้พวกหนุ่มๆ ไม่ว่าใกล้หรือไกลต่างหมายปองเธอทั้งนั้น

ลูกชายเจ้าเมืองเพชรบุรีชื่อ เจ้าลาย ได้ยินกิตติศัพท์นางยมโดยจึงปลอมตัวเป็นพ่อค้ามาที่อ่าวน้อย เมื่อได้รู้จักกับนางยมโดยจึงได้รู้แน่ว่าข่าวลือเป็นความจริง เจ้าลายเองก็หลงรักนางยมโดยจนส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอจากนางรำพึง เมื่อฝ่ายหญิงไม่ขัดข้องก็ตกลงนัดวันแต่งงานกันทันที

น่าเศร้าตรงที่ตาม่องล่ายไม่ได้ล่วงรู้ถึงการนัดหมายเรื่องนี้เลย!

ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีเจ้าชายจากเมืองจีนซึ่งล่องเรือสำเภามาค้าขายในย่านนั้นก็หลงรักนางยมโดยเช่นกัน ได้ทำการสู่ขอกับตาม่องล่าย แล้วกำหนดวันแต่งงานตรงกันพอดี

ครั้นถึงวันสำคัญ เจ้าลายก็ยกขบวนขันหมากใหญ่โตมาจากเมืองเพชรบุรี ส่วนเจ้าชายจีนก็ยกขบวนขันหมากมาที่บ้านนางยมโดยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายตั้งขบวนขันหมากอยู่ที่อ่าวน้อยหน้าหมู่บ้านนั่นเอง!

ตาม่องล่ายกับยายรำพึงจึงเกิดทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็จะยกลูกสาวให้กับคนที่ตัวตกลงไว้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ยายรำพึงจึงคว้าหมวกขว้างใส่ตาม่องล่ายด้วยความโมโห หมวกปลิวไปตกที่ริมหาดประจวบฯ ต่อมาเป็นภูเขาชื่อ "เขาล้อมหมวก"

ฝ่ายตาม่องล่ายก็โยนกระบุงใส่ยายรำพึงทันใด กระบุงลอยข้ามอ่าวไปตกถึงจังหวัดตราดกลายเป็นเกาะชื่อ "เกาะกระบุง"

จากนั้น สองตายายจึงขว้างปาสิ่งของต่างๆ ด้วยความโมโหสุดขีด!

สากตำข้าวปลิวไปโดนเขาลูกหนึ่งบนเกาะ กลายเป็น "เกาะทะลุ" แล้วลอยไปตกทะเลกลายเป็น "เกาะสาก" อยู่ที่ปากน้ำจังหวัดชุมพร ตอนที่สากไปถูกเกาะทะลุได้ฟาดกระจงตัวหนึ่งหัวขาดกระเด็นไปตกน้ำกลายเป็น "เกาะหัวกระจง" อยู่ที่ตำบลบ่อคา อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ส่วนไส้พุงของกระจงก็กลายเป็น "เกาะไส้กระจง"

ในที่สุด ยายรำพึงวิ่งหนีไปจนสิ้นลมหายใจที่อ่าวบางสะพาน กลายเป็นภูเขาใหญ่ริมอ่าวชื่อ "เขาแม่รำพึง" ฝ่ายตาม่องล่ายทั้งเสียใจและโกรธแค้นลูกสาวผู้เป็นต้นเหตุจึงจับร่างนางยมโดยฉีกออกเป็นสองซีกทันที!

โยนไปทางเมืองเจ้าลายซีกหนึ่ง แต่แกคงหมดแรงเสียก่อนจึงโยนไปได้แค่อำเภอปราณบุรี กลายเป็น "เกาะนมสาว" อีกซีกหนึ่งโยนไปทางเมืองเจ้าชายจีน แต่ไปตกที่จังหวัดชลบุรี กลายเป็น "เกาะนมสาว" แม้จะห่างไกลกันก็จริงแต่มีชื่อเดียวกัน

ฝ่ายเจ้าลายผิดหวังในความรักจึงทิ้งเครื่องขันหมาก กลายเป็น "ภูเขาสามร้อยยอด" อยู่ที่อำเภอปราณบุรี พวกเครื่องเพชรพลอยก็ตกกระจายกลายเป็น "ภูเขาเพชรพลอย" กับ "เขาหัวแก้วหัวแหวน" อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วตัวเองก็ตรอมใจตายกลายเป็น "เขาเจ้าลาย" อยู่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเช่นกัน

เจ้าชายจีนก็ทิ้งเครื่องขันหมากจนหมดสิ้น พลูจีบกลายเป็น "หอยมวนพลู" หมากกลายเป็น "หอยหมาก" ที่เขาเก็บมาทำเป็นตัวหมากรุก ขนมจีนกลายเป็น "สาหร่ายทะเล" เครื่องเพชรพลอยต่างๆ กลายเป็น "หอยทับทิม" และ "หอยดาว"

ตะเกียบกลายเป็น "เขาตะเกียบ" อยู่ที่หัวหิน กระจกส่องหน้านางยมโดยไปติดอยู่ที่ "เขาช่องกระจก" จานข้าวไปตกเป็น "เกาะจาน" อยู่หน้าอ่าวคลองวาฬ ประจวบฯ ส่วนตาม่องล่ายก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่ที่ชายทะเลอ่าวน้อยจนตาย กลายเป็น "ภูเขาตาม่องล่าย" มาจนถึงทุกวันนี้

...คุณแม่มาเขย่าตัวหนูจนตื่น ที่แท้หนูก็อิ่มจนหลับ แล้วฝันไปว่ามีคุณยายผมขาว หน้าตาใจดีมาเล่านิทานให้ฟัง...สนุกก็สนุกนะคะ แต่ขนหัวลุกค่ะ!

ตึกอาถรรพ์

"คงกะพัน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่แยกคอกวัว

สมัยก่อน ผมเป็นวัยรุ่นอยู่แถวสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง นี่เองครับ เพื่อนฝูงเยอะแยะตั้งแต่หลังวัดบวรฯ ถนนสิบสามห้าง ถนนตานี ถนนข้าวสาร ไปถึงฝั่งตรงข้าม ยันวัดมหรรพ์ ศาลเจ้าพ่อเสือโน่นแน่ะ

เรื่องวัยรุ่นกับเที่ยวเตร่เป็นของคู่กันอยู่แล้ว ไมว่ากลางวันกลางคืน ขอให้เพื่อนชวน มีเพื่อนเที่ยวเถอะน่า จะตะลอนๆ ซอกแซกซะอย่าง รับรองว่าถึงไหนเป็นถึงกัน

สิ่งที่กวนประสาทมากๆ คือเรื่องผีดุ!!

เขาว่าละแวกนั้นผีดุสาหัส ไม่ใช่ดุธรรมดา แต่อย่างว่า พวกเราฟังเรื่องผีกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ฟังไปขนลุกไปก็มี แต่หลายๆ เรื่องกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่ากลัวตรงไหน บางทีก็ซังกะตายฟังไปยังงั้นเอง แต่บางทีสนิทกันหน่อยก็จะบอกคนเล่าว่า...เรื่องนี้ขอเละๆ นะ

พวกรุ่นน้ารุ่นลุง จนถึงรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายที่พกเรื่องผีไว้คนละเป็นกระบุง ก็จัดการเล่าเรื่องผีชนิดน่าขนพองสยองเกล้าให้เราฟังไม่ชักช้า...ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่า "จัดให้!"

ที่ถนนราชดำเนินน่ะรถวิ่งจนชนกันโครมครามมั่ง เสยคนข้ามถนนมั่งหลายๆ คันก็เสียหลัก พุ่งขึ้นมาไล่อัดคนบนฟุตปาธจนบาดเจ็บล้มตายมานับไม่ถ้วน วิญญาณผีตายโหงนับร้อยนับพันก็สิงสู่อยู่ที่นั่น คอยหลอกหลอนผู้คนสารพัดรูปแบบ

นั่นคือ เห็นรถเก๋งขับรถผ่านไปช้าๆ จ้องมองก็ไม่ยักเห็นคนขับซักคนเดียว!

บางทีเป็นรถกระบะ มีคนนั่งสลอนหัวดำมืด แต่ทุกร่างล้วนแต่งแข็งทื่อ ร่างอาบเลือด หน้าตาแหลกยับ เล่นเอาคนเห็นภาพนั้นถึงกับสติแตก วิ่งปุเลงๆ พร้อมกับร้องจ้าชนิดไม่รู้ทางไป

ผู้คนที่เดินมาตามถนนหนทางก็หยอกอยู่เมื่อไหร่ เพราะเห็นเดินมาดีๆ อ้าว? กลายเป็นร่างเละเทะ แก้มฉีก นัยน์ตาห้อยร่องแร่ง บางรายเห็นเดินหิ้วหัวตัวเองมาก็มี

บางรายก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่พอใกล้เข้ามากลับหายแว้บไปซะยังงั้นเอง!

บางคนเล่าเรื่องสุดสยองให้ฟังว่า ตอนดึกราวสองยาม กำลังเดินมาจากถนนตะนาวจะออกราชดำเนินอยู่แล้ว ได้ยินเสียงรถยนต์ห้อตะบึงผ่านไป ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยโหยหวน พอวิ่งออกไปดูก็แทบจะช็อกคาที่เมื่อเห็นผู้ชายร่างโชกเลือดกำลังคลานจากถนน มือหนึ่งยันพื้น มือหนึ่งโบกขอความช่วยเหลือ...เลือดแดงเถือกไปทั้งตัว

ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว หันไปอีกทีก็ขนหัวลุกตั้ง เมื่อเห็นชายเคราะห์ร้ายคลานขึ้นมาบนฟุตปาธแล้ว...แต่ว่ามีอยู่ครึ่งตัวเท่านั้นเอง ท่อนล่างไม่มีหรอกครับ!

รายนี้เสียสติอยู่หลายวัน ญาติต้องพาไปให้พระรดน้ำมนต์ถึงได้ค่อยทุเลา

ตอนที่เกิดเรื่อง 14 ตุลาคม วันมหาวิปโยค ได้ข่าวว่ามีคนตายหลายร้อย ผมเพิ่งสิบกว่าขวบ เขาลือกันว่าผีดุนักหนา...พอจะซาไปหน่อยก็เกิด 6 ตุลาคมขึ้นมาอีก ชาวบ้านแถวนั้นขนลุกขนชันไปตามๆ กัน

ที่น่าสยองสุดๆ ก็ตรงสี่แยกคอกวัว หรืออนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคมนั่นแหละครับ เขาลือกันว่าผีดุสาหัสสากรรจ์ที่สุด!

สมัยก่อนเคยเป็นอาคารสูงใหญ่ แต่วันดีคืนดีก็เกิดถล่มทลายลงมาดื้อๆ ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรแน่ บางคนบอกมีคนตายอยู่ซากตึก 2-3 คน จนกระทั่งสร้างขึ้นมาใหม่ กลายเป็นสถานีวิทยุ ททท.ต่อมาก็ใช้เป็นหน่วยงานราชการ จนกระทั่งเกิดเรื่องวันมหาวิปโยคขึ้นมา ตึกนั้นก็โดนเผาวอดวายไปทั้งหลัง

กลายเป็นซากตึกร้าง แม้ว่าจะรื้อทิ้งเหลือแต่ที่ว่างเปล่า...ผมกับเพื่อนๆ เดินผ่านไปมาทั้งกลางวันและกลางคืน บางทีก็รู้สึกเย็นสันหลังเหมือนกันแฮะ แต่เมื่อแข็งใจหันไปจ้องมองก็ไม่ยักเห็นอะไร

พวกรุ่นใหญ่เคยเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตึกนี้ให้ฟังครับ!

ตอนที่มันเกิดถล่มหรือยุบตัวลงมาดื้อๆ มีคนที่เดินผ่านชอบหยุดดูซากตึก ไม่รู้ว่ามันมีอะไรน่าดูตรงไหน? หรือจะจริงอย่างที่เขาพูดๆ กันก็ไม่รู้ ที่ว่าคนเราไม่ค่อยชอบดูการสร้างตึก แต่ถ้าเกิดไฟไหม้หรือตึกถล่มทลายละชอบดูนักเชียว

คือชอบความพินาศวอดวายกว่าการสร้างสรรค์ เพื่อสนองตัณหาดิบเถื่อน กับสัญชาตญาณชอบทำลายของตัวเอง!

รุ่นใหญ่เล่าว่าเดินกลับบ้านตอนดึกมา 2-3 คน พอผ่านซากตึกนั่นได้นิดเดียวก็สะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน เพราะได้ยินเสียงถล่มทลายโครมครามราวเกิดแผ่นดินไหว

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติ ก็ตึกมันถล่มลงมาตั้งนานแล้วจะมีอะไรเหลือให้ถล่มอีกล่ะ? แต่จะว่าหูฝาดไปเองก็แปลก เพราะได้ยินพร้อมๆ กันทุกคน กระโดดโหยงๆ เป็นกุ้งเต้นไปตามๆ กัน...ผีหลอกน่ะซี!

เล่นเอาเดินขาสั่นกลับบ้านไปตามๆ กัน เห็นว่าเจอมาหลายรายแล้ว

ประสบการณ์ของผมกับเพื่อนๆ หลังจากมีการสร้างตึกใหม่และโดนเผาจนเหลือแต่ซากแล้วครับ...แถมมากัน 2-3 คนอีกต่างหาก

คืนนั้นเราไปกรึ่มกันที่ศรแดง พอสี่ทุ่มกว่าไปเดินดูน้องหนูกับกะเทยที่หน้าโรงหนังมูนไลท์...ชักจะง่วงก็พากันเดินทอดน่องมาทางสี่แยกคอกวัว เลี้ยวซ้ายเข้าถนนตะนาว มุ่งหน้ากลับบ้าน...แต่พอผ่านซากตึกทึบทึมนั่นเท่านั้น เสียงไฟลุกคึ่กๆ ความร้อนพุ่งพรวดเข้าใส่ ตามด้วยเสียงกรี๊ดร้องบาดใจ...โอ๊ย! ช่วยด้วย...

คอนโดผี

เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงที่เจอะเจอมาด้วยตัวเอง แม้มันจะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมความสยองนั้นได้เลย คือเมื่อประมาณปี 2542 ช่วงนั้นเราได้ไปศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งหนึ่ง แถวสี่แยกเกษตร จึงมีความจำเป็นต้องหาที่พักใกล้ๆ ก็ไปได้คอนโดแห่งหนึ่งในตลาดพงษ์เพชร เป็นคอนโดที่ เก่าๆแต่เราก็ไม่คิดอะไรเพราะราคาถูกดี ก็เลยตัดสินใจเข้าพักกับเพื่อนอีกคน อยู่มาได้ 2 เดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วคืนหนึ่งเราก็หลับฝันไปว่า ห้องที่เราอยู่มีคนมาอยู่ เป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักเลย เป็นสองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ในฝันนั้นทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ด้วยเหตุของการหึงหวง เราซึ่งได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้แต่ยืนดู แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผู้เป็นสามีได้ยกมีดขึ้นมาแทงภรรยาโดยแทงข้างหลังติดประตูหน้าห้อง ชุดนอนที่ผู้หญิงใส่จากสีขาวกลายเป็นสีแดงของเลือดไปหมด เราหวีดร้อนสุดเสียงแล้วก็สะดุ้งตื่น ตื่นมาเรารู้สึกตกใจกับฝันนี้มาก มันเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาก หลังจากนั้นผ่านไปได้ 2 อาทิตย์โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเราลืมๆไปบ้างแล้ว เหตุการณ์สยองที่เราไม่มีวันลืมก็เกิดขึ้น.. คืนนั้นเกือบจะเที่ยงคืนแล้วเรากับเพื่อนไม่ได้ออกไปไหน ก็เลยนอนดูT.Vอยู่ที่ห้อง เราสองคนนอนคู่กันอยู่บนเตียงโดยเพื่อนเรานอนด้านในติดกำแพง เราอยู่ด้านนอก T.Vอยู่ปลายเท้า ขณะนั้นเราปิดไฟในห้องหมดแล้วมีแต่แสงไฟของถนนด้านล่างสาดเข้ามาจากระเบียงที่เป็นกระจก อ้อลืมบอกไปว่าเราอยู่ชั้น 8 กำลังนอนดู T.Vอยู่เพลินๆ เราก็เกิดตัวแข็งขึ้นมา(เหมือนที่เขาเรียกว่า ผีอำ) จะพูดหรือขยับตัวไม่ได้เลย เพื่อนเราก็นอนดูT.V อยู่แต่ก็เรียกให้ช่วยไม่ได้ สักประมาณ 1-2 นาทีได้มี อะไรบางอย่างทำให้เรามองไปที่มุมห้องทางซ้าย ปรากฎว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวแต่เปื้อนๆสีแดงเต็มตัว เดินออกมาจากมุมห้องมาที่เรา ผู้หญิงคนนี้มีผมที่ยาวมากๆปิดหน้าตาจนมองแทบไม่เห็นหน้า เธอเดินมาหยุด ที่ข้างๆเตียงที่เรานอนอยู่ เรารู้สึกถึงเตียงที่ยุบตัวลงเวลาที่เธอนั่งลง เธอนั่งหันข้างให้เรานานมาก ก่อนที่เธอ หันมามอง แล้วยื่นมือมาบีบที่ไหล่เรา มาถึงตอนนี้เราสติแตกแล้ว หวีดร้อนสุดเสียงแล้วก็หายจากอาการตัวแข็ง ร้องไห้จนเพื่อนตกใจ เช้ามาเราก็เลยย้ายห้อง ยังอยู่ชั้น 8 เหมือนเดิมแต่เป็นห้องสุดทางเดิน เราก็มาเหตุการณ์ สยองที่นี่อีกแล้วจะเอาไว้เล่าในคราวหน้า เพื่อนๆอย่าคิดว่ามันจะจบเพียงแค่นี้ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์เราก็ได้ คำตอบ วันนั้นเราเจอเพื่อนคนหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ เราเล่าเหตุการณ์นี้ให้เขาฟัง เขาก็มาสะดุดใจว่าเหตุการณ์ เหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์ที่เขาอ่านเจอเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราเลยไปค้นดูกันแล้วก็จริงดังที่เพื่อนสงสัย เหตุการณ์ เหมือนที่เราฝันทุกอย่าง เราเลยทำบุญไปให้ตามชื่อที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์ เธอคงรอคอยใครสักคนที่ติดต่อ กันเธอได้เหมือนเรา นี่คือเหตุการณ์สยองของเราที่ไม่มีวันลืม อ้อ! จะบอกว่าคอนโดนี้อยู่ในตลาดพงษ์เพชร ห้องที่เราอยู่คือ ห้อง 8/19 เผื่อเพื่อนๆอยากจะแวะไปเยี่ยมเธอ แล้วคราวหน้าเราจามาเล่าเหตุการณ์ในห้อง 8/34 ที่เราย้ายไปให้ฟังนะสยองไม่แพ้กันเลย

ตำนานศุกร์ 13

เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี


ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน


จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ

โค้ง100ศพ

ผมขอถามก่อนเลยนะครับว่า พี่ๆ เมื่อประมาณ ปี 2540 กระผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ซึ่งเรามีกำหนดการณ์ไปตอนประมาณ 3 ทุ่ม เมื่อถึงเวลาก็เดินทาง ออกจากกรุงเทพเข้า จังหวัดระยองก็ประมาณ ตีหนึ่งแล้ว พวกเราไปกันประมาณ 5 คน นั่งรถเก๊งไป เพื่อนของผมชื่อ เอ เป็นคนขับ และมีผมและเพื่อนอีกคนนั่งไป ส่วนคนอื่นหลับหมด เมื่อถึงช่วงทางโค้งเอก็จอดรถลงไปทำกิจส่วนตัวเมื่อ เอ ขึ้นรถขับไปได้ประมาณ 2 กม. เอ ก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่แต่ไม่คิดอะไร จึงขับเมื่อขับมาอีก 2 กม. ก็เห็นผู้หญิงอีก เราก็รู้สึกเอะใจ พวกเราก็มองผู้หญิงมองไปมองมาเราเห็นขาของเธอลอยเหนือพื้นพวกเราตกใจมาก เอ เหยีดรถออกด้วยความเร็ว ประมาณ 160 ได้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิด เราเห็นผู้หญิงคนนี้เดินตามรถมา ทั้งๆ ที่รถเหยีด ประมาณ 160 ยังตามทัน เอ เหยีดเต็มที่ เมื่อมาถึงทางโค้งเราต้องชรอเพราะข้างหน้าเป็นโค้งอันตราย เมื่อมาถึงทางโค้งผู้หญิงตนนั้นตามทัน เราเห็นหน้าเธอ หน้าเขียวมากไม่มีลูกตา เราช็อกมาก เมื่อพ้นโค้งเอเหยีดคันเร่งเต็มที่ เมื่อมาเกือบถึงตัวเมือง ผู้หญิงตนนั้นก็ค่อยๆ หายไป เมื่อมาถึงเราก็รอจนถึงเช้า พวกเราขับรถกลับ กรุงเทพ ทันที เมื่อมาถึงตอนกลับตรงโค้งที่เจอเราเห็นคนเดินอยู่ จึงถามว่า ที่นี่มีอะไรเหรอครับ เมื่อคืนผมเจอผีหลอก เขาบอกว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนมีผู้หญิงขับรถแล้วชนที่โค้งนี้ พวกเราตกใจมาก จึงกลับ กทม ทันที

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรงแรมนรก!!

สมัยหนุ่มผมได้ชื่อว่าเป็นนักเที่ยวฉกาจฉกรรจ์คนหนึ่ง ในฐานะเด็กกรุงเทพฯ ตัวจริงเสียงจริง คือเกิดและเรียนหนังสือจนโตเป็นหนุ่มอายุต้นสามสิบ ก็ตะลอนๆ อยู่ในเมืองหลวงนี่แหละครับ ต่างจังหวัดนานๆ ถึงจะโผล่ไปเที่ยวสักครั้ง

บ้านช่องที่ไม่ใช่ห้องหออยู่ถนนทรงวาดครับ แถวราชวงศ์หรือเยาวราชนี่ถือว่าบ้านตัวเองเพราะย่ำเป็นเทือกจนทะลุปรุโปร่ง เติบกล้าเข้ายิ่งมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ เลยได้เที่ยวไปถึงตรอกเต๊าตรอกโพธิ์ ยันโรงหมูและตรอกสลักหิน หัวลำโพง ที่มีคุณตัว...สมัยนั้นเรียกว่า "ผีเสื้อราตรี" คึ่กๆ ใครว่าแถวนั้นนักเลงเยอะคงไม่จริงมั้งครับ

โธ่! ก็เพื่อนๆ ผมน่ะล้วนแต่นักเลงเรียกพี่ จะเข้าตรอกไหนซอยใดไปยันรองเมืองหรือข้ามฟากไปสะพานเหลือง บอกได้คำเดียวว่าหายห่วงจริงๆ เอ้า!

แถววงเวียน 22 กรกฎา (ไม่มีคม) ก็หยอกอยู่หรือนั่น

อ้อ! สมัยนั้นถือว่าเป็นแหล่งกิน, เที่ยวและเล่นนะครับ ไม่ว่าใครชอบอะไรเป็นมีสนองทุกอย่าง โรงแรมใหญ่ๆ อย่างไทเป, 22 กรกฎา คึกคักแทบทั้งวันทั้งคืน โรงแรมเล็กๆ อย่างไมตรีจิตต์, สันติภาพ ฯลฯ ก็ดาษดื่นไปหมด รวมทั้งโรงแรมไร้ชื่อตามซอยแคบๆ ขนาดพอเดินสวนกันได้ บันไดขึ้นก็อยู่ติดกับทางเดินนั่นเอง...สนใจเลี้ยวขวับขึ้นไปได้ทันที

ไม่ว่าบนวงเวียนหรือตามโรงแรมจิ้งหรีดที่ว่า จะมีผีเสื้อราตรีมา เตร็ดเตร่คอยล่าเหยื่อหนาตา ประมาณว่าไม่ต่ำกว่าร้อยคนขึ้นไป!

ต่อมาเรียกว่าผีเสื้อราตรีไม่ถูกต้องแล้วละครับ เพราะพวกเธอมาเดินส่ายอกบิดสะโพกตอนกลางวันก็มี...นักเที่ยวเรียกกันว่า "รอบเช้ากับรอบค่ำ" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ รอบเช้าน่ะราวแปดโมงก็มายืนเตร่ สอดส่ายสายตาหาเหยื่อกันแล้ว ราวสี่ซ้าห้าโมงเย็นถึงจะหายหน้าไป คราวนี้ก็ถึงเวลาของพวกรอบค่ำออกมาครอบครองพื้นที่แทนไปจนดึกดื่นค่อนคืน

พวกนักเที่ยวล้วนยืนยันตรงกันว่ารอบเช้าขาวสวยหมวยอึ๋มกว่ารอบบ่าย...แต่ทุก คนจะถือถุง "โชคดี" เป็นเครื่องหมายการค้า พวกรอบเช้ามักจะมาจากที่อื่น แต่พวกรอบเย็นส่วนมากเช่าห้องโรงแรมจิ้งหรีดอยู่ต่างบ้านไปเลย

อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับรุ่นพี่ที่พาผมขึ้นไปดูตัวตามห้องเลย เพราะสนิทกับหลงจู๊และสาวๆ ที่เช่าห้องอยู่ถาวร

บางวันเราก็นึกครึ้มไปเปิดห้องโจ้เหล้า คุยกันเรื่องบ้าๆ บอๆ ตามประสาขาเมา...ผมเคยเมาจนไม่อยากกลับบ้าน ขอนอนค้างที่นั่นเลย...คืนแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปาเลยแหละคุณ!

คืนนั้นเพื่อนๆ กลับกันหมดแล้วผมก็หลับสนิทอยู่บนเตียงเก่าแก่ ไม่ต้องมีมุ้งแบบก่อนเพราะมีมุ้งลวดตามยุคสมัย...ไม่แน่ใจว่ากำลังตกอยู่ใน ความฝันหรือลืมตาตื่นกันแน่ เมื่อได้ยินเสียงลากเกี๊ยะโกรกกรากไปมาอยู่หน้าห้อง ตามด้วยกลิ่นแป้งน้ำฉุนเฉียว สะกดความรู้สึกให้พร่ามึนอย่างประหลาด...

เสียงทุบประตูดังขึ้น 3-4 ครั้ง ผมอยากจะร้องถามว่าใคร? หรือลุกไปเปิดดูให้รู้แน่ แต่ทำไมหนังตามันหนักอึ้งเหลือเกิน...เนื้อตัวก็เหมือนถูกถ่วงด้วยท่อนเหล็ก จนแทบขยับไม่ไหว...ได้ยินเสียงโครม! แล้วชายกำยำก็ถลันพรวดเข้ามา

"เฮ้ย..." ผมคิดว่าร้องออกไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงตัวเองแม้แต่นิดเดียว...เห็นหญิงสาวผมยาวนุ่งโสร่งดอกหนา เผ่นออกจากเตียง พร้อมๆ กับชายนั้นแช่งด่าดุเดือดพลางเงื้อมีดขึ้นจ้วงอกหญิงสาวอย่างเ...้ยมเกรียม

ผมพลิกตัวจนหล่นพลั่กตกเตียงตอนนั้นเอง!

เสียงแผดร้องโหยหวนชวนสยองดังลั่นห้อง เลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ โสร่งดอกหนาหลุดลุ่ยกองกับพื้น สะโพกหนั่นหนาและท่อนขาอวบขาวมีเลือดแดงๆ ไหลย้อยลงมา ขณะที่ชายนั้นเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง...คราวนี้กะซวกลงที่ทรวงอกตัวเองจนมิด ด้าม

ผมอ้าปากค้างตะลึงงัน เมื่อชายหญิงคู่นั้นหันขวับมาหาผมเหมือนเพิ่งจะมองเห็นร่างอาบเลือดและแววตา ขุ่นขวางที่จ้องมอง เล่นเอาผมแทบสติแตกในบัดดล!

นรกเป็นพยาน! ร่างอุบาทว์ทั้งสองก้าวเข้ามาหาช้าๆ ขณะที่กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนแทบขย้อน...ผมอยากจะเผ่นหนี แต่ก็ลุกไม่ไหว ได้แต่ตะกายหนีถอยหลังตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด แต่ร่างหญิงชายจากอเวจีก็ยังก้าวเข้ามา...ก้าวเข้ามาไม่หยุดยั้ง

สุดจะทนทานได้แล้ว ผมรู้สึกเหมือนสมองกำลังระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ร้องตะโกนแทบคอแตก แต่ได้ยินเสียงแว่วๆ เท่านั้นเอง...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายไปในพริบตา!

สะดุ้งตื่นขึ้นมา ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวสั่นเทา หอบฮั่กๆ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นกระทบโพรงอก เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มหน้าผาก...สองแก้มเปียกโชกด้วยน้ำตาเหมือนกำลังตกอยู่ ในความฝันไม่ผิดเลย

รีบผลุนผลันออกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำรวม แล้วเผ่นออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่...ตั้งแต่นั้นมาผมไม่กล้าไปนอนโรงแรม ที่ไหนคนเดียวอีกเลย...ไม่อยากขนหัวลุกครับ!

ผีในผับ

ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี จึงไม่ต้องเสียเวลากลัวผีแบบพวกขี้ขลาดตาขาว...แต่แล้วผมก็ประสบเข้ากับเรื่องแปลกประหลาด น่าขนลุกขนพอง จนทำให้ผมกลายเป็นคนกลัวผีมาเกือบ 20 ปีแล้วครับ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยผมหนุ่มๆ ตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ใครมีหัวการค้า เก็งกำไรที่ดินหรือบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ ซื้อใบจองเอาไว้ขายต่อก็ได้กำไรเป็น กอบเป็นกำ ส่วนคนที่มาซื้อต่อจากเราก็เอาไปเก็งกำไรอีกที

ตลาดหุ้นพุ่งทะยานจนกลายเป็นบ่อนใหญ่ที่ทุกคนมุ่งหน้าเข้าไปกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋า ยกเว้นแต่จะดวงซวยจริงๆ ถึงจะเจ๊งครับ เพราะดัชนีมันมีแต่ขาขึ้นที่เรียกว่าเป็นตลาดวัวกระทิงคึกคะนอง ไม่ใช่ตลาดหมีที่ก้มหน้าซบเซายามดัชนีดิ่งเหวไม่จบสิ้นในยุคต่อมา

สรุปว่าผมกับเพื่อนฝูงมีเงินทองอู้ฟู่เต็มกระเป๋า ตกค่ำก็เข้าผับเข้าบาร์ เผลอๆ ก็เข้าโรงนวด...กลายเป็นคนขี้เมื่อยหรือติดอ่างไปเลย

คืนนั้น เจ้าเฮ้งกับเจ้านิยมมาชวนผมไปเที่ยวผับแถวหลังสวน ตอนแรกผมนึกว่ามีแจ๊ซมันๆ สุดโปรดมาบรรเลง แต่สองเกลอบอกว่ามีทีเด็ดยิ่งกว่าเสียงเพลงซะอีก เพราะมีโชว์แบบใหม่ที่เรียกว่า "โฟโต้นู้ดโชว์"

ผมเองเที่ยวค็อกเทลเลานจ์มาหลายแห่ง บางแห่งถูกใจก็เป็นเมมเบอร์ซะเลย ได้ทั้งเหล้าทั้งนารี 3-5 คน มิกเซอร์ฟรี แต่ผมยังไม่เคยเห็นโชว์ที่เพื่อนมันว่าซักที

ตกลงเราไปเข้าผับที่รัชดาฯ...เจ้าเฮ้งเป็นขาประจำจึงได้รับการต้อนรับอย่างดี แทบจะมีโต๊ะที่จองไว้เป็นพิเศษแน่ะครับ อยู่ด้านขวาแต่ค่อนข้างใกล้ชิดกับเวที...สาวๆ หุ่นเซ็กซี่ถลาเข้ามานั่งประกบเรา 3 คน...แฟนของสองเกลอน่ะซีครับ กับสาวหน้าสวย ตาคมผมยาวสำหรับผม เหล้ากับโซดาถูกยกเข้ามา...รอเวลาสำคัญที่เรียกแขกได้แน่นผับ

โฆษกออกมาประกาศว่าจะเริ่มโชว์แล้ว พวกนักเที่ยวหนุ่มๆ ก็กรูกันมาหน้าเวที พร้อมกับกล้องถ่ายรูป แต่พวกเราไม่มีใครติดกล้องมาซักคน

ไฟหรี่สลัว เสียงเพลงร็อก เฮฟวี่เมทัล ของคณะ เดฟ เลปพาร์ด ดังกระหึ่มเร้าอารมณ์ในเพลงเพรสซินอล ลิเบอร์ตี้ หรือ "สมบัติส่วนบุคคล" อันถือว่าเข้ากับบรรยากาศที่จะมีการโชว์สมบัติส่วนตัวของนางแบบโฟโต้นู้ดที่แทบทุกคนรอคอย

แสงไฟจากแฟลชร่มเริ่มเปิดทีละดวง จนเห็นนางแบบสาวสวยวัยรุ่นนั่งในท่าสบายๆ ยังไม่เปิดเสื้อผ้า แต่ไม่ช้าเธอก็ทำท่าว่าเสียงเพลงเร้าอารมณ์จนทนไม่ไหว เริ่มเคลื่อนไหวบิดเนื้อบิดตัว ก่อนจะสลัดอาภรณ์ส่วนบนออก...โอ้อวดก้อนเนื้อขาวผ่องอยู่ในแสงไฟและแสงแฟลชวูบวาบไม่หยุดหย่อน

เจ้าเฮ้งกับเจ้านิยมโอบกอดสาวที่นั่งเบียดเสียด แต่นัยน์ ตาจ้องเป๋งไปบนภาพเย้ายวนบนเวที...สาวตาคมผมยาวก็บดเบียดทรวงอกกับต้นแขนผมจนแทบร้อนฉ่าเช่นกัน

ท่ามกลางเสียงเพลงที่ชวนดิ้น ทั้งคึกคักและเร่าร้อน ทำให้นางแบบหันไปก้มตัวลงจับเก้าอี้ โอ้อวดบั้นท้ายในบิกินีตัวจิ๋ว แสงแฟลชกระหน่ำเป็นว่าเล่น ก่อนจะเปลี่ยนลีลาไปนั่งเอนหลังที่เก้าอี้ โอ้อวดความเซ็กซี่พลางแหงนหน้าอ้าปากเหมือนอยู่ในอารมณ์รัญจวนเต็มที่...

ลงเอยด้วยการถอดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกอย่างเชื่องช้า... ผมรู้สึกอกอวบเย็นฉ่ำของสาวที่นั่งเบียดทำท่าเหมือนจะบดขยี้ต้นแขนผมให้กลืนหาย กลายเป็นเนื้อเดียวกัน!

แสงไฟสปอตไลต์จากแฟลชร่มเริ่มดับทีละดวง เพลงเพรสซินอล ลิเบอร์ตี้ ยังดังกระหึ่มต่อไป จนกระทั่งไฟดับหมดทุกดวง ก็เป็นอันว่าการแสดงไฟโต้ นู้ด โชว์จบสิ้นลงแล้ว

ไฟสว่างขึ้นตามเดิม นักดนตรีกับนักร้องสาวออกมาทำหน้าที่ขับกล่อมนักเที่ยวแทนที่ พวกหนุ่มตากล้องสมัครเล่นยกโขยงกลับไปที่โต๊ะ...เสียงวิพากษ์วิจารณ์ความสะสวยและเซ็กซี่ของนางแบบสาวรุ่นยังดังแว่วมาอีกพักใหญ่

"ไม่เรียกใครมานั่งด้วยเรอะเพื่อน?"

เจ้าเฮ้งชะโงกหน้ามาถาม พลางขยิบตายั่วเย้า

"ก็นั่งอยู่นี่ไงวะ..." ผมอดหัวเราะไม่ได้ หันไปกางแขนจะโอบไหล่สาวตาคมผมยาว แต่ต้องพบแต่ความว่างเปล่า...เธอจะลุกออกไปได้ยังไงทั้งๆที่นั่งอยู่โซฟาด้านในติดผนัง ถ้าไม่ผ่านผมน่ะ?

"อั๊วถามตั้งแต่แรกว่าจะเรียกใครมานั่งด้วยมั้ยลื้อก็ส่ายหน้า" เจ้านิยมยักไหล่ "เห็นนั่งเหงาคนเดียวแล้วสงสารว่ะ"

ผมชาวาบไปทั้งตัว ใบหน้ากับไขสันหลังเย็นเฉียบ จะว่าเมาก็ไม่ใช่ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ซดเหล้าแม้แต่อึกเดียว...ใครล่ะที่มานั่งเบียดเสียดกับผม ทั้งโอบกอดทั้งบดเบียดต้นแขนด้วยหยุ่นยวงเย็นฉ่ำ...ผีน่ะซีครับ! บรื่อออ....



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

ใครกันหนอ!!

ก็ได้ยินตอนฟังของวันที่ 20 มิ.ย. ช่วง the shock ย้อนยุค.... ได้ยินพี่ป๋องพูดถึงเรื่องผีที่มาเล่าในรายการแบบ the shock ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ..... เรื่องนี้เกิดปี 2538 ช่วงประมาณ พ.ย. - ธ.ค.

ตอนนั้นกำลังเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ก็ช่วงเวลาที่รายการนี้ก็ประมาณ the shock นี่ล่ะ ผมก็นั่งฟังไปด้วยอ่านหนังสือไปช่วงนึงมีผู้หญิงโทรมา....

น้ำเสียงที่เธอพูด ช้า และเย็นๆ มาก ... ก็ไม่ได้คิดอะไรกัน เธอเล่าว่า "มีผู้หญิงคนนึงจะกลับบ้าน ทางเดินเข้าบ้านเธอมันเปลี่ยว พอเดินได้สักพักก็มี คนขับมอไซด์ มาฉุดผู้หญิงคนนั้น ไปข่มขืนในป่าข้างทาง

แล้วมันก็ฆ่าเธอ มันฆ่าหนู ๆ ฮือๆๆๆๆๆๆ " แล้วสายก็หลุดไปเฉยๆ พร้อมกับความงวยงงขอดีเจและคนฟังทั้งเชียงใหม่ หลังจากนั้นรายการก็พยายามติดต่อสายเดิมแต่โทรไม่ติด ก็มีแต่คนโทรมาบอกถึงความสงสัยของคนเล่าว่าเสียงทำไมพูดยาน จัง

หรือเสียงเหมือนผีเลย .... น่ากลัวมากเลย .... แล้วพอสักพักดีเจก็ให้ร่วมกันโหวตเรื่องเล่าที่น่ากลัวประจำคืนนั้น ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้รางวัล ทางทีมงานเข้าใจว่าโทรไปอีกก็ไม่ติดก็พูดว่าให้น้องคนนั้นติดต่อกลับมา

แต่ก็ทางายการพยายามพูดถึงทั้งเดือน ก็ไม่มีคนมารับ ผมก็ได้เล่าเรื่องนี้กับเพื่อนให้ฟังว่ารู้สึกว่าเหมือนผีเนอะ เพื่อนผมก็บอกว่าคิดว่าหมือนกันเพราะมีข่าวว่ามีผู้หญิงถูกข่มขืนแล้วฆ่า เหมือนกันตอนช่วงนั้น แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่า คนที่เล่าเป็นผี หรือคนมาเล่า

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หาดผีสิง!!

คุณ ยุทธ สามย่าน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่หาดแม่รำพึง

เมื่อราวสองปีก่อน ผมไปเที่ยวระยองตามคำชวนของเพื่อนชื่อสมชัยที่ทำงานธนาคารอยู่บ้านฉาง ได้ไปเที่ยวบ้านแกลง อนุสาวรีย์สุนทรภู่ สวนสน ชายหาดสวยงามหลายแห่ง เช่น หาดทรายปากน้ำเมืองระยอง หาดแม่พิมพ์ หาดบ้านเพที่ลงเรือข้ามไปเกาะเสม็ดได้

เพื่อนเล่าว่าเกาะเสม็ดนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่าเกาะแก้วพิสดาร ที่เป็นฉากในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี

หาดแม่รำพึงชื่อดังมากในเรื่องผีดุ เชื่อว่าเป็นหาดผีสิง หรือหาดกินคน!

สาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายทุกปี บางปีก็หลายคน โดยธรรมชาติก็คือ คลื่นลมแรง กับพื้นทรายใต้น้ำยุบลงเป็นแอ่งลึก แม้จะเล่นน้ำตื้นๆ ก็อาจหลุดลงไปในแอ่งมรณะได้ง่ายดาย

หลายๆ คนอาจทะลึ่งตัวขึ้นมาได้ทัน แต่หลายคนก็ชะตาขาด เมื่อโผล่ขึ้นมาจะโดนคลื่นลูกโตๆ โหมซัดจนจมหายลงไปใต้น้ำ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าหาดมานับไม่ถ้วน...เหตุนี้เองจึงเรียกว่าหาดผีดุ หาดกินคน!

เชื่อกันว่าคนที่ตายซับตายซ้อน วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น เรียกว่าผีน้ำบ้าง พรายทะเลบ้าง คอยเรียกคนชะตาขาดไปอยู่ด้วยกัน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อเอาชีวิตคนอื่นได้ตัวเองก็จะได้ไปผุดไปเกิด แต่บ้างก็เชื่อว่ามีผีเจ้าถิ่นดุร้ายมาก คอยคร่าวิญญาณดวงใหม่ๆ เพื่อเอาไปเป็นบริวาร

สมชัยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกหลายคนมาเล่าให้ฟัง ว่าเห็นเดินวนเวียนอยู่ตามชายหาดตอนกลางคืน พอเห็นหน้าดำมะเมื่อม นัยน์ตาแดงจ้าราวถ่านไฟก็รู้ว่าเป็นผีเจ้าถิ่นแน่นอน

ไม่ว่าใครที่เห็นภาพสยองขวัญก็ล้วนแต่แผดร้องโหยหวน ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตกันทั้งนั้น บางคนถึงกับสลบคาที่ บางคนก็จับไข้เพ้อคลั่งไปหลายวัน

วันสุดท้ายที่ระยอง เพื่อนก็พาผมไปเที่ยวหาดแม่รำพึง

ตอนสายวันอาทิตย์มีผู้คนคึกคัก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวขวักไขว่หนาตา บ้างก็เดินเล่นกันบ้าง หยุดชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบ้าง สายลมพัดโชยไม่ขาดระยะ ชายหาดกว้างขวางร่มรื่น ดูแล้วน่าสบายใจมากกว่าน่ากลัว

ผมเห็นผู้คนลงไปเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุก หนุ่มสาวสาดน้ำใส่กันเสียงหัวเราะร่าเริงดังอยู่ตลอดเวลา

สมชัยเล่าว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้ามรสุม คลื่นลมสงบ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่จะลงไปเล่นน้ำ แม้จะมีป้ายบอกให้ระวังอันตรายก็ตาม เพราะถ้ามีคลื่นลมแรงจะปักธงสีแดงไว้เตือนภัยและห้ามลงเล่นน้ำด้วย

เมื่อนึกถึงภาพชายหาดตอนกลางคืนคงเปล่าเปลี่ยวน่าดู คนที่ต้องไปหาหอยหาปูต้องใจกล้าพอสมควร ได้ข่าวว่ามีคนถูกผีหลอกจังๆ หลายราย ทำให้ต้องไปกันเป็นกลุ่มพอให้อุ่นใจ หรือไม่ก็เลิกไปเดินท่อมๆ ที่ชายหาดอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขวัญหนีดีฝ่อโดยใช่เหตุ

ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวีดร้องก็ดังก้องไปทั้งชายหาด คนอื่นๆ หันขวับไปด้วยความตกใจ

ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน!

นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำใกล้ๆ หาด สองมือชูว่อนขอความช่วยเหลือ นัยน์ตาเหลือกลานบอกความหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะจมวูบลงไปในคลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดบัดดล

ชายหนุ่มสองคนนุ่งกางเกงอาบน้ำยืนอยู่บนหาด รีบพุ่งตัวลงน้ำเข้าไปช่วยเหลือทันที ขณะที่คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้าดูด้วยความตื่นเต้น ผู้หญิงสูงอายุสอง-สามคนถึงกับเป็นลมไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีด

เราวิ่งเข้าไปดูด้วยใจเต้นระทึก เกือบพร้อมๆ กับที่ชายทั้งสองช่วยกันลากคนจมน้ำขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หรา หอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อยตื่นเต้นทั้งสามคน

ท่ามกลางไทยมุงที่ถามกันแซดว่าเกิดอะไรขึ้น? ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า? เล่นน้ำตื้นๆ คลื่นก็ไม่แรง คงจะหลุดลงไปในแอ่งมรณะที่เป็นกับดัก ทะลึ่งตัวขึ้นมาโดนคลื่นลูกโตๆ ซ้ำเติม...ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการกลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายอย่างแน่นอน

...ชายหนุ่มที่รอดตายอย่างหวุดหวิดลุกขึ้นมาเสยผม มองเห็นไหล่กว้างอกกำยำ เล่าว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากกรุงเทพฯ ว่ายน้ำแข็ง และไม่ได้เท้าหลุดพื้นแน่นอน

เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงแหบเครือ

"ผมยืนอยู่ในน้ำตื้นๆ เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย กำลังกวักมือเรียกเพื่อนให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน จู่ๆ ก็มีอะไรไม่รู้มาพันขา แล้วดึงวูบจนผมจมดิ่งลงไปเลย...มันคล้ายกับมือคนจริงๆ"

เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย บางคนก็ยกมือปิดปาก...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในน้ำแม้แต่คนเดียว เสียงคลื่นลมสาดซ่าฟังเผินๆ เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเย้ยหยันมาจากใต้ทะเล ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลยครับ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด

ซ่อนหา..อาถรรพ์

เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า คือผมได้นำเรื่องนี้ไปออกในรายการ ชั่วโมงพิศวง มาเเล้วนะครับ

ไม่รู้ว่าบางคนเคยได้ยินหรือได้อ่านที่ไหนบ้างรึยังนะครับ เรื่องมีอยู่ว่าริว เด็กผู้ชายอายุ 11 ปี เป็นเด็กยากจน กำพร้าพ่อและแม่ ซึ่งอาศัยอยู่กับยาย 2 คน วันหนึ่งเวลาประมาณ 20:00 น. ริวและเพื่อนๆไม่มีอะไรเล่นกัน

"วันนี้...เราจะเล่นอะไรกันดี" ริวพูดขึ้นมา

"ไม่รู้ดิ" เพื่อนคนนึงพูดขึ้น หน้าตาค่อนข้างซีเรียส

"เราเล่น ซ่อนหากันดีมั้ย"

"เฮ้ย!!...พี่ริวนี่มันเลย 6 โมงเย็นเเล้วนะ จะดีเหรอพี่"

"เออ...จริงด้วย..แต่เราจะไปถือสาอะไรกันผีไม่มีในโลกหรอก ไม่ต้องกลัว" ริวพูดค่อนข้างที่จะลบหลู่

"เอ้าเล่นก็เล่น" เพื่อนคนนึงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "

1..2..3..4" เพื่อนคนนึงเริ่มนับ 1-50 อย่างรวดเร็ว ผ่านไปประมาณ 1 นาที

ริวยังหาที่หลบไม่ได้ ริววิ่งไปที่วัดแห่งนึงที่อยู่ใกล้ๆบ้านของริว ริวนั้นได้ไปหลบที่ข้างๆโลงศพโลงนึง แต่..ริวกลัวว่าเพื่อนนั้นจะหาเจอก็เลยเข้าไปหลบในโลงศพ อย่างไร้ความกลัว "50!" เพื่อนที่ปิดตานั้นเริ่มค้นหาเพื่อนๆที่เล่นซ่อนหา ด้วยกัน ผ่านไปประมาณ 5 นาทีทุกคนออกมาหมดเเล้ว ยกเว้น!!!! พี่ริว ทุกคนรีบตามหา "ช่วยด้วย!!!!" เสียงพี่ริวตะโกนร้องมาทางด้านศาลาวัด พวกเรารีบวิ่งไปที่ศาลาวัด เราเดินเข้าไปที่โลงศพด้วยความกล้าๆกลัวๆ ปัง!!! เสียงเคาะโลงดังมาจากทางที่พี่ริวหลบอยู่พวกเราตกใจพาถอยหลังกันคนละก้าว

พวกเราเอามือไปจับที่ฝาโลงศพ แอด!!!! พวกเราเปิดฝาโลงศพขึ้นมา

สิ่งแรกที่พวกเราเห็นคือพี่ริวนอนทับร่างหญิงชรา!!! มือหงิกงอ มีหนอนเกาะอยู่ตามตัว ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด พวกเรารีบวิ่งหนีกลับบ้าน พี่ริวกระวนกระวายออกจากโลงศพเเละได้มองลงไปที่โลงก็เห็นเช่นเดียวกันกับพวกเราพี่ริววิ่งร้องไห้กลับบ้านไป ยายถามพี่ริวว่าพี่ริวเป็นอะไรพี่ริวก็ไม่ตอบ ต่อมาพี่ริวผมร่วง ยายได้พาพี่ริวไปหาหมอ หมอบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แล้วต่อจากนั้นไม่นานพี่ริวก็เสียชีวิตลงด้วยความสงสัยของใครหลาย ๆ คน!!!....





พลังจิตดอทคอม

เรื่องหลอนๆ ที่มช.

ยังจำคืนนั้นได้ดี พากันหลอนกันทั่วหน้า
คืนนั้น พวกเรานั่งอ่านหนังสือกันที่ศาลาหน้าตึก stat
ขอพูดถึงตึก stat นิดนึงนะคะ
ตึก stat ที่ มช. จะอยู่ตรงข้ามศูนย์บริการวิชาการ
หรือที่พวกเราเรียกกันว่า uniserv ซึ่งเป็นตึกเก่าคะ
ถ้าจำไม่ผิด ตึกนี้คือหอพักแห่งแรกของ นศ.
ตรงหน้า uniserv จะเป็นทางเดินฟุตบาทลงเนินไป
ธนาคารไทยพาณิชย์ ก็จะมีเสาไฟให้แสงสว่างอยู่
เรื่องของเรื่อง เวลานั้น รู้สึกประมาณ ตี 2 เห็นจะได้
พวกเราก็นั่งอ่านหนังสือกันอยู่หลายคนเหมือนกัน
ประมาณ 6 - 7 คนเห็นจะได้ ก็แยกกันนั่งประมาณ 3 โต๊ะคะ เป็นโต๊ะหินอ่อน
แล้วสิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด
คือ เห็นคนเดินไปตามฟุตบาทลงเนินไปทางธนาคารไทยพาณิชย์
ด้วยเวลานั้น ตี 2 กว่าๆ แล้ว คนบ้าที่ไหนจะมาเดินแถวนั้น
ใช่มั้ยค่ะ
ตอนนั้นทุกคนเงียบพร้อมกัน แล้วก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
"เฮ้ย เห็นกันมั้ย"
เพื่อนแนนอีกคนมันก็บอกว่า "เออ เห็น เห็นคนเดินลงไป"
แต่.......อีกคนมันกลับพูดว่า
"เดินลงไปที่ไหน เดินขึ้นมาต่างหาก"
เริ่มหลอนกันแล้วสิค่ะ ไอ้บ้านี่ อย่ามาหลอกเพื่อนๆ นะโว้ย ยิ่งใจคอไม่ดีอยู่
"ไอ่เอี๊ย มรึงพูดดีๆ นะ ก็เห็นกันหมดว่ามีคนเดินลงไป"
มันก็ยังเถียงต่ออีก
"ก็กรูเห็นเดินขึ้นมาจริงๆ เนี๊ยะ ยืนมองมรึงอยู่ที่เสาไฟ ไม่เห็นเหรอ"
แนนกับเพื่อนๆ ก็มองไปที่เสาไฟต้นนั้น
คิดว่าพวกแนนจะเห็นอะไรมั้ยค่ะ
.
.
.
ว่างเปล่า......ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่เสาไฟ
เหอๆๆ จากที่แยกกันนั่งประมาณ 3 โต๊ะ ตอนนี้เหรอ
อยู่รวมกันเป็นโต๊ะเดียวหมดแล้วคร๊าบบบบบ
จะไหวเหรอครับ ท่าน
"ไอ่เอี๊ย มรึงอย่ามาหลอกพวกกรูนาโว้ยยย"
-*-
"ก็กรูเห็นจริงๆ นี่หว่า เนี๊ยะ ยังยืนมองอยู่เลย" มันยังย้ำอีก
พวกเราทุกคนเลยตัดสินใจที่จะไม่หันไปมองทางนั้นอีก
ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกันต่อไป

-*- น๊านนนน ยังมีกะจิตกะใจ อ่านหนังสือ
ซักพัก ก็ไอ่คนเดิมมันก็ทักขึ้นมาว่า
"เฮ้ย ได้ยินเสียงพระสวดหรือเปล่า"
"ไอ่เอี๊ย พวกกรูจะอ่านหนังสือ มรึงไม่ต้องพูดได้มะ"
ทุกคนช่วยกันรุมประนามมันสุดฤทธิ์
"เออ แต่กรูได้ยินนะ ลองเงียบๆ สิ" นั่น!! มีคนมาเสริมทัพอีก
ตอนนั้นในใจแนนคิด พระบ้าที่ไหน จะมาสวดตอนตี 2 ตี 3
แต่มีคนได้ยิน 2 คน ธรรมดาที่ไหนล่ะ T_T
ตอนนั้นไม่มีการอ่านหนังสือใดๆ ทั้งสิ้น หลอนซะขนาดนั้น
สักพัก ไอ่คนที่เห็นต่างจากเพื่อนมันก็บอกว่า
มีคนมองมา อยู่ที่หน้าต่างตึก chem ฟากที่หันมาทางตึก stat

พอรู้อย่างนั้น ทุกคนไม่พูดอะไรกันแล้ว เก็บหนังสือ
กลับหอใครหอมัน จะอยู่ทำซากอะไรละคะ T_T

ใครจะอยู่อ่านก็อ่านไป แต่อิชั้น ขอบาย ขี่มอไซค์กลับหอตอนตี 3 กว่าๆ
ในใจก็คิด อย่าตามนู๋มาเลยนะคะ นู๋กลัว T_T

อีกเรื่อง อันนี้เพื่อนแนนเล่ามา
ด้วยความที่ตอนนั้น ตึก stat จะเป็นที่สิงสถิตย์ของพวกผู้ชาย
มันใช้ห้องพักนักศึกษาเป็นแหล่งซ่องสุม
มีหมดแหละคะ ทั้งเล่นเกมคอมฯ อ่านหนังสือ เล่นปิงปอง
เล่นกีตาร์ ร้องเพลง ก่อกองไฟตอนหน้าหนาว
หรือแม้แต่กินเหล้าเคล้าเสียงเพลงใต้แสงเทียน
โรแมนติกซะไม่มี เพื่อนตรู
ก็จะมีรุ่นน้องมาแจมบ้าง
ด้วยความที่ตึก stat จะปิดเวลากลางคืน เพราะฉะนั้นห้องน้ำที่ตึกก็จะใช้การไม่ได้
ต้องไปแสวงหาห้องน้ำในสถานที่อื่นๆ
ห้องน้ำที่จะเล่าต่อไปนี้ คือ ห้องน้ำตึก bio
จากที่อ่านหนังสือกันที่ศาลาหน้าตึก
ก็ต้องมีอาการปวดหนัก ปวดเบาเป็นธรรมดา ใช่มั้ยค่ะ
เพื่อนแนนคนนี้ มันเป็นผู้ชาย มันไปกัน 2 คน
เดินผ่านหน้าตึก stat เพื่อจะไปห้องน้ำที่ตึก Bio
ขณะที่มันกำลังเดินผ่านหน้าตึก stat อยู่นั้น
มันทั้งสองคน ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีรถจักยานขับผ่านมันทั้ง 2 คน
หึหึ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยคะ
มีแต่เสียงรถจักรยานแต่ไม่มีรถจักยานแถวนั้นซักคัน!!!!!
มันเข้าเกียร์หมา วิ่งกลับมาที่เก่า ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เข้าห้องน้ำ

ไปกันสองคน รู้กัน 2 คนนะ เหอๆๆ
แล้วก็มีรุ่นน้องแนนอีกคนหนึ่ง เกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำ
ก็ไปใช้บริการห้องน้ำที่ตึก Bio ซึ่งห้องน้ำนี้
กิตติศัพท์เลื่องลือถึงความเปลี่ยว
ด้วยความที่ว่าไม่ค่อยมีคนเข้าตอนกลางคืนนั่นเอง
น้องคนนี้ใจกล้ามาก เข้าไปห้องน้ำนี้คนเดียว
ย้ำนะคะ ไปคนเดียว
ขณะที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้ว ก็กำลังจะออกมาจากห้องน้ำ
มันก็ได้ยินเสียงว่า
"มีใครอยู่ข้างในมั้ยค่ะ"
น้องแนนมันก็เปิดประตูออกมาดู
.
.
ว่างเปล่า
.
.
ไม่มีใครอยู่ซักคน
น้องคนนี้วิ่งกลับมาที่ตึกแทบไม่ทัน
ตอนนั้นถ้าเป็นแนนก็คงไม่คิดอะไรแล้วล่ะคะ
ใส่เกียร์หมาอย่างเดียว
หลังจากนั้ก็ไม่มีใครไปเข้าห้องน้ำที่ตึก Bio อีกเลย

เรื่องแปลก ทีห้องคลอด

ผมเป็นนักศึกษาแพทย์เรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ตอนอยู่ปี4 เราต้องเรียนวิชา สูตินารีเวท ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศหญิง และการตั้งครรภ์ เราต้องเข้าไปในห้องคลอดคอยเฝ้าดูแม่ที่จะคลอดเด็ก ต้องจดบันทึก progress ของการคลอดและเราก็ต้องได้ทำการคลอดเองด้วยแต่ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ที่จบแล้ว เรามีหุ่นจำลองที่ไว้ใช้ฝึกทำคลอด และหุ่นเด็กทารกหลายตัว อยู่ในห้องประชุม ห้องประชุมเป็นห้องที่อยู่ส่วนลึกสุดของห้องคลอด ถ้าเป็นเวลาปกติที่ใช้ประชุมกันก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าช่วงดึกๆที่ไม่มีคนใช้ห้อง ห้องจะมืดและน่ากลัวมาก

ห้องนี้อยู่ติดกับโซนคุณแม่ high risk

หรือแม่ที่มีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพราะจะมีการคลอดที่ยากและต้องดูแลเป็นพิเศษ ห้องข้างๆก็คือห้องนอนของนักศึกษาแพทย์และแพทย์เวรแต่ก็เงียบวังเวงอีกนั่นแหละ เพราะไม่ค่อยจะมีคนมานอน เพราะต้องทำงานกันตลอดใครแอบมาหลับโดนอาจารย์เห็นก็ซวยไป และที่สำคัญเหตุการแปลกๆหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ที่ห้องนอนไม่ค่อยได้รับความนิยมไปนอนอีกเหตุผลก็คือ มีรุ่นพี่หลายคนเคยไปนอนแล้วรู้สึกเหมือนว่ามีคนมาเดินวนรอบๆ เตียง มีเสียงเด็กวิ่งเล่นหัวเราะไปมา ประกอบกับห้องอยู่ไกลจากส่วนที่เค้าทำงานกัน ทำให้ดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก บางทีไปแอบนอนที่ห้องประชุมนอนๆอยู่ก็เห็นผู้หญิงเดินผ่านหน้าห้องไปอีกด้านซึ่งเป็นทางตัน เหตุการณ์แบบนี้ พวกพี่ที่อยู่ห้องคลอด แพทย์เวรเจอกันเกือบทุกคน

แต่ที่เจ๋งคือ มีหุ่นเด็กฝึกทำคลอดอยู่ตัวหนึ่งชื่อ น้องพัด

คับมีชื่อเขียนอยู่หลังหุ่น ผมก็ถามพวกพี่ว่าทำไมหุ่นตัวนี้ถึงมีชื่อ แต่ตัวอื่นๆไม่มี พี่พยาบาลบอกว่า นานแล้วมีแม่ที่ตั้งครรภ์คนหนึ่งเค้ายกให้ห้องคลอด เค้าบอกว่าหุ่นตัวนี้น่ะ เป็นลูกของเค้าชื่อ น้องพัด เป็นหุ่นตัวที่เก่าที่สุดคับ แต่ชิ้นส่วนต่างๆครบ ไม่เหมือนตัวอื่น ตอนที่ผมยังไม่รู้เรื่องนี้ ผมได้ไปจับหุ่นตัวนี้เล่นพิเรนๆหลายท่าคับ ตามความนึกสนุก ท่าทุเรศๆก็มีเยอะ จนผมมาฟังเรื่องจากรุ่นพี่ผมคนหนึ่ง แกเล่าว่าตอนนั้นแกนอนอยู่ที่ห้องประชุม แอบมาหลับพอสักพักแกก็ตื่นขึ้น และเดินออกมาขณะแกเดินออกมา แกรู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินตาม แกก็หยุด หันไปไม่มีอะไร จนเดินต่อแกก็รู้สึกจิงๆว่าเหมือนมีใครเดินตามแกมา แกก็แกล้งเดินเร็วๆ แล้วอยู่ๆก็หยุด หันกลับไปคับ แกพูดอะไรไม่ออกเลย แกเห็นหุ่นน้องพัดนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ทางเดินคับ แกพยายามคิดว่าคงไม่ใช่มั้ง แต่แกก็แข็งใจเก็บหุ่นไปไว้ที่ห้องประชุมเหมือนเดิม พอผมได้ฟังเรื่องนี้เท่านั้นหละคับ ผมไม่ไปเล่นกับหุ่นน้องพัดอีกเลย......


พลังจิตดอทคอม

ห้อง173

อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราเจอเองนะ เราเอามาเล่าให้ฟังอีกทีน่ะ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอให้เชื่อเหอะว่ามันมีจริง!
คงมีเพื่อนๆหลายๆคนอยู่หอพัก เราก้อเหมือนกัน วันนั้นหลังจากที่เราเหนื่อย มากแล้วกับการเดินหาหอพักจนขาขวิดเราก้อเจอหอพักที่หนึ่งแถวๆซอยลาซาล ใหม่เอี่ยมอ่องเหมือนเพิ่งทาสีเสร็จใหม่ๆ เราก้อคิดในใจว่า "แจ๋วเลยงานนี้คง ไม่ต้องนอนโรงแรมให้เปลืองตังค์อีกแล้วนะ" พอคิดได้เราก้อเดินเข้าไปในนั้น
เจ้าของหอพักใจดีมาก บอกว่าหอเพิ่งเปิดใหม่ลดให้เป็นกรณีพิเศษ จากค่าห้อง 3500/เดือน น้ำไฟพร้อม มีแอร์ด้วยเหลือแค่ 2000 เอง ยังงี้ใครจะอดใจไหว ตกลงเราก้อได้ห้อง เบอร์ 172 ที่นี่ห้องเยอะมากเหมือนโรงแรมเลยหลังจากอาบ น้ำแต่งตัวเสร็จก้อจัดเตียงนอนเรียนร้อย สักพักก้อได้ยินเสียงคนคุยกันเป็นเสียง
ผู้หญิง 2 คน รู้สึกจะคุยกันเรื่องแฟน นายเราก้อไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกแต่หูมัน ได้ยินไปเอง เสียงทะเลาะนั้นก้อดังขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นเสียงตะโกน นอนไม่ได้ แล้วสิ เราก้อเลยเคาะกำแพงที่กั้นห้องเรากับห้อง 173 เสียงก็เงียบไปสังพัก แล้ว
ก้อมีเสียงลอยๆขึ้นมาว่า "แสือก , เดี๋ยวก้อเจอดีหรอก" เราก้อเลยพยายามจะสุภาพ ที่สุดเพราะง่วงมากเลยตะโกนว่า "ขอโทษนะเราไม่ได้ยุ่งเรื่องของพวกเธอเลยแต่ เราง่วงนอนเบาๆกันหน่อยละกัน" แล้วเราก้อหลับต่อ ซักพักเราก้อได้ยินเสียงเหมื อนใครเอาเล็บข่วนมุ้งลวดเราไม่สนใจ แต่แล้วก้อได้ยินเสียงดังตุ๊บเราเลยผงกหัว ขึ้นมาดู เห็นแขนของใครไม่รู้หล่นอยู่เท่านั้นแหละเรากระโดดออกจากเตียงวิ่งไป เคาะห้องทุห้องเลย แล้วก้อกระโดดลงบันได 5-6 ขั้นเนี่ยแหละลงไปเคาะห้องของเจ้าของหอ ที่จริงหอนี้เคยเปิดแล้วก้อปิดไปเมื่อไม่นานมานี้ที่ปิดก้อเพราะ มีผู้หญิง คนหนึ่ง พาเพื่อนอีกคนมาเจรจาเรื่องแฟนของเขาเพราะคิดว่าเพื่อนแย่งแฟนตัวเอง พอตกลงกันไม่รู้เรื่อง ผู้หญิงคนนั้นเลยคว้ามีดสปาต้าฟันจนมือเพื่อนตัวเองขาดแล้ว แทงซ้ำจนเพื่อนตายแล้วจึงเชือดคอตัวเองตายตาม

ห้อง9209!!

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาลัยที่ผมเรียนอยู่คับ มหาลัยผมอยู่แถวๆศาลายาอ่ะคับ
ตอนนั้นผมเข้าปี 1 มีงานรับน้องก่อนเปิดเรียน ในงานมีรุ่นพี่จัดซุ้มให้เราเข้าไปเล่นมีทั้งเกมส์มีทั้งแกล้ง พอประมาณตี1กว่าๆเกือบตี2 น้องๆเริ่มเหนื่อย ก็เลยนั่งพักกันเป็นกลุ่มๆ รุ่นพี่ก็เลยแกล้งเล่าเรื่องผีให้ฟัง เนื่องจากว่าที่มหาลัยนี้ผีดุและเจ้าที่แรงมากเพราะว่าในอดีตมีคนตายเยอะมากที่นี่ เรื่องต่อไปนี้จะจิงรึไม่ผมไม่รู้นะคับ อยากให้ใช้วิจารณญาณกันเอานะคับ เรื่องแรกนั้น(ไว้จะทยอยเล่าทีละเรื่องนะคับ)พี่เค้าเล่าว่า ที่หอพักในมหาลัยมีห้องอยู่ห้องหนึ่งจะมีเลขห้องซ้ำกันอยู่ คือเลข 9206 จะมี 2 ห้อง
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีอยู่คืนนึง ในห้อง 9209 มีคนอยู่ 4 คน
3 คนในห้องนั่งเล่นผีถ้วยแก้วกัน 1คนที่เหลือนอนโดยไม่รู้ว่าเพื่อนๆเล่นผีถ้วยแก้วกัน เล่นไปเล่นมาเพื่อนคนนึงในกลุ่มไปลบหลู่วิญญาณที่เข้ามาอยู่ในแก้ว แล้วก็เอามืออกจากแก้ว พอเอามือออกจากแก้วปุ๊บเพื่อนคนที่นอนอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมถามว่าพวกนายเล่นไรกันน่ะ จบคำพูดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่อยู่ในห้องก็ลุกเดินจะไปเปิดประตู เพื่อนคนทีเพิ่งลุกจากที่นอนก็รีบส่งเสียงห้ามว่าอย่าเปิด เพื่อนคนนั้นก็เลยไม่เปิด สักพักเสียงเคาะประตู จากเคาะก็กลายเป็นทุบ ทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งกลัวกันอยู่จนเช้าเสียงจึงเงียบไป เปิดประตูออกไปดูเห็นกองขี้เถ้า เพื่อนคนที่ตอนแรกนอนอยู่เล่าว่า ฝันเห็นคนวิ่งมาจากตึกวิทย์ไฟไหม้ทั้งตัว วิ่งขึ้นมาที่ห้องแล้วก็เคาะประตู ก็เลยสะดุ้งตื่น
จากนั้นมาก็เป็นอย่างนี้ทุกคืน คือจะมีเสียงเคาะประตูทุกคืนและพอตอนเช้าเสียงเงียบไปเปิดประตูห้องออกมาก็เจอกองขี้เถ้า และเสียงเคาะประตูหรือจะเรียกว่าเสียงทุบประตูก็ได้ กลับไม่มีใครได้ยิน จนคนในห้องทนไม่ไหวเลยลองเปลี่ยนหมายเลขห้องโดยกลับตัวเลขจากเลข 9209 ไปเป็น 9206 ตั้งแต่คืนนั้นมาก็ไม่มีเสียงเคาะประตูอีกเลย และก็ได้ยินข่าวแว่วๆมาว่า ปีที่แล้วมีรุ่นน้องเกิดอุตริ ได้ยินเรื่องที่รุ่นพี่เล่าเรื่องนี้ และลองไปเปลี่ยนหมายเลขห้องกลับดู ปรากฏว่าหายไปหมดทั้งห้องเลยทั้ง 4 คนเป็นรุ่นน้องทั้งหมด 4คน ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 4 คนหายไปไหนจนบัดนี้ยังหาไม่เจอ ขอเดาว่าตอนที่พี่ๆ4คนนั้นเปลี่ยนหมายเลขห้องเพราะความอยากลอง ตอนกลางคืนมีเสียงเคาะประตูจิง แต่คงยังคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ หรือไม่ก็มีคนมาเคาะประตูจึงเดินไปเปิดแล้วก็...คุณล่ะ อยากลองบ้างมั๊ย....

ลอง...ตาย!!

"เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมและเพื่อน ๆ
ต้องจดจำกันไปชั่วชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ
เพราะเพื่อนที่พวกผมรักต้องมาจากพวกผมไปอย่างไม่มีวันกลับ
เพราะความชอบลองดีนี่เอง

แอ๋มเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเองสูงหัวสมัยใหม่
ไม่ค่อยจะเชื่อถือในเรื่องผีสางซักเท่าไหร่ วันหนึ่งแอ๋มได้ไปเจอหนังสือเก่า ๆ
เล่มหนึ่งจากสวนจตุจักร มันเป็นเรื่องราวของการพิสูจน์ในสิ่งที่ลี้ลับ

ผมรู้สึกว่าแอ๋มจะติดใจกับหนังสือเล่มนั้นมากคอยชักชวนให้พวกผมลองทำอย่างหน ังสือที่ได้บอกเล่าไว้ มันเป็นวิธีในการที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับเรื่องของวิญญาณและวิธีหนึ่งที่แอ๋ มดูท่าทางจะชอบและอยากลองมาก ๆ ก็คือการทดลองตายครับ มันเป็นวิธีที่พวกผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับแอ๋มซักเท่าไหร่
ก็ความตายนี่ครับใครจะอยากไปลอง ผมพยายามขอให้แอ๋มเปลี่ยนความคิดนี้ซะ มันดูเสี่ยงเอามากๆ แต่แอ๋มไม่เชื่อครับ แถมยังให้พวกผมไปหาอุปกรณ์มาอีกต่างหาก

อุปกรณ์ที่ว่านี่ก็มี ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนห่อผ้าดำเอาไว้ สายสิญจน์ ดอกไม้ธูปเทียน และที่ขาดไม่ได้ก็คือโลงศพครับ และต้องเป็นโลงศพที่ใช้แล้วด้วย
ส่วนสถานที่ก็ต้องเป็นที่วัดร้างครับ

และวันนั้นก็มาถึงแอ๋มได้นัดพวกผมไปที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งแอ๋มได้เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เรียบร้อบแล้ว เพียงแต่รอให้พวกผมไปร่วมพิธีกับเธอเท่านั้น แอ๋มบอกผมว่าทุกคนที่เข้าร่วมพิธีต้องใส่เสื้อผ้าสีดำ และต้องเอาผงขี้เถ้าที่ละลายกับน้ำในวัดมาป้ายที่ตา เพื่อที่จะได้เห็นวิญญาณที่ออกจากร่างแล้วของแอ๋ม

เมื่อถึงเวลา แอ๋มเริ่มจุดธูป และก็นำไปปักรอบ ๆ โลงศพ จากนั้นก็เอาน้ำขี้เถ้ามาป้ายที่ตา ต่อมาก็ลงไปนอนในโลงศพ แอ๋มให้ผมมัดเธอด้วยสายสิญจน์และดอกไม้ธูปเทียน นั่นมันเป็นวิธีมัดตราสังข์ชัด ๆ ผมบอกให้แอ๋มเลิกอย่าลองพิสูจน์อะไรบ้า ๆ อย่างนี้เลย ไม่ครับ แอ๋มไม่เชื่อผม แอ๋มเริ่มท่องคาถาเบา ๆ
แอ๋มบอกว่ามันเป็นคาถาปลุกวิญญาณ ขณะนั้นเองก็เกิดลมพัดมาวูบหนึ่ง
(sfx:เสียงลมแรงๆ) มันทำให้ผมหนาวเย็นไปถึงกระดูก และผมรู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ ๆ หมาก็หอนขึ้นมา(sfx:เสียงหมาหอน)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเกือบจะช็อค ก็คือ ผมเห็นวิญาณของแอ๋มกำลังล่องรอยออกจากร่างของเธอ ข้าง ๆ แอ๋มนั้นก็มีผู้ชายที่น่ากลัวสองคนแต่งตัวแบบยมฑูตที่ผมเคยเห็นในทีวีกำลังพ าเธอไป ส่วนรอบ ๆ ตัวผมก็เต็มไปด้วยวิญญาณมากมายคอยแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกผมอยู่ พร้อมกับเสียงร้องที่โหยหวนชวนสยองของพวกมัน พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาผม ผมเอามือมาขยี้ที่ตา แต่ให้ตายเถอะผมไม่ได้ตาฝาด ผมและเพื่อน ๆ จึงรีบวิ่งออกจากวัดร้างนั้นทันทีโดยไม่หันมามองข้างหลังอีกเลย

รุ่งเช้าผมกลับไปที่วัดร้างนั้นใหม่ แต่ผมมาช้าไปแล้ว เพราะที่นั่นมีแต่ร่างที่ไร้วิญญาณของ แอ๋ม พร้อมกับร่องรอยของการทำพิธีทดลองความตาย ที่ทำให้แอ๋มพบกับจุดจบของเธอ ด้วยการลองดีที่เธอชอบนั่นเอง"

เจอผีกลางวันแสกๆ

ที่บ้านหนองโก บ้านตะเกียง พ่อสุนทรเล่าให้ฟังว่า คนไปขายเสื่อขายสาด เกิดเคราะห์หามยามร้ายรถไปคว่ำที่โคราชตอนเที่ยง คือลูกเขยพาแม่ยายไปขายเสื่อกับหมู่คณะราว 6-7 คน เมื่อพ่อสุนทรกลับจากนามากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เห็นคนตายคือยายข้างบ้านกันเดินขึ้นไปบนบ้าน จึงถามเมียว่า เอ๊ะ! เห็นยายไปขายเสื่อขึ้นไปบนบ้าน ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า?

แต่เมียยอกว่า ไม่ใช่ เขายังไม่กลับมากันเลย จะเห็นกันได้ยังไง?

ส่วนพ่อสุนทรก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ตาฝาด เพราะเพิ่งเห็นยายแกเดินขึ้นบ้านไปเมื่อตะกี้นี้เอง!

ฝ่ายเมียกลับยืนยันว่าผัวตาฝาดไปเอง ด้วยความไม่แน่ใจทั้งคู่จึงชวนกันวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปิดหน้าต่างออกมองหาแต่ไม่เจอะเจอใครเลย เกิดสังหรณ์ใจว่าคงจะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็น ลูกเขยเขากลับมา บอกว่าแม่ยายตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้แล้ว รถคว่ำตายคนเดียว!

สองผัวเมียรู้ข่าวแน่ชัดก็ตกตะลึงตัวชา ได้แต่หันมองสบตา ไม่เข้าใจว่ากลางวันแสกๆ เหตุใดผู้ตายจึงปรากฏกายกลับมาบ้านได้ในเวลานั้น เห็นเป็นรูปร่างปกติเดินขึ้นไปบนบ้านได้เล่าหนอ?

อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านหัวนาคำ

พ่อใหญ่พันธ์เล่าว่า ญาติป่วยหนักอยู่ที่อำเภอโกสุมพิสัย ขณะนั้นพ่อใหญ่พันธ์ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน ได้พบกับญาติที่ป่วยอยู่นั้น...รายนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากได้พูดคุยทักทายกันด้วย ญาติผู้นั้นบอกว่ามีธุระจะไปที่อื่น ขอฝากลูกหลานให้ช่วยดูแลด้วย เขาจะไปในวันที่ 15-16 นี้เอง

พูดคุยกันแล้วก็เดินเข้าบ้านหายลับไป

พ่อใหญ่พันธ์เอารถไปจอดไว้แล้วจึงคุยกับเมียว่า พี่น้องเรามาจากโกสุมฯ เขามาทำไม เมียบอกว่าไม่มีใครมา พ่อใหญ่พันธ์ร้องว่า ไม่มีได้ยังไง เมื่อสักครู่ได้คุยกันก่อนเข้ามาในบ้าน...ว่าแล้วจึงวิ่งตามเข้าไปดูในบ้าน แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว

พ่อใหญ่พันธ์จึงบอกว่าผิดปกติเสียแล้ว จะต้องเดินทางไปโกสุมฯ แล้วจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายแน่นอน

ครั้นรุ่งเช้านำกระเป๋าขึ้นรถ ได้แวะซื้ออาหารที่อำเภอเชียงยืน มีคนรู้จักเล่าให้ฟังว่า ญาติที่บ้านหัวนาคำเมื่อคืนนี้ตายแล้ว พ่อใหญ่พันธ์รีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงอำเภอโกสุมฯ ถึงบ้านญาติเห็นเขาจัดตั้งศพกำลังประดับประดาอยู่

เป็นไปได้ยังไง คนตายแล้วยังพูดได้ ไม่ใช่เห็นแต่รูปร่างเท่านั้น...ขนลุกหัวครับ!

คืนเปลี่ยว!!

สมัยวัยรุ่นผมอยู่วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทองน่ะ พวกเรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าสังกัดบริษัทตาแหก กลางค่ำกลางคืนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมออกจากบ้านเด็ดขาด

ยกเว้นแต่มีงานวัดถึงจะนัดกันไปเที่ยวเตร่ซักที!

บ้านผมมีวัดเยอะแยะเหลือเชื่อ แค่ล่องเรือไปตามลำแม่น้ำน้อยสายเดียวก็เจอะเจอเกิน 10 วัดแล้ว ใครคิดจะไปไหว้พระ 9 วัดในวันเดียวขอเชิญได้เลยครับ

อ้อ! นอกจากจะเป็นเมืองหน้าด่านแล้ว ชาวอ่างทองยังมีอารมณ์ขันเยอะครับ ถึงกับระบุบอกสรรพคุณของทุกๆ อำเภอเอาไว้ครบถ้วน แถมเกร็ดฝอยชวนขำกลิ้งอีกต่างหาก ไม่เชื่อก็ลองอ่านดูซีครับ

"ใครอยากมีเมียให้ไปป่าโมก

ใครอยากมีโชคให้ไปโพธิ์ทอง

ใครอยากมีน้องให้ไปไชโย

ใครอยากเป็นนักเลงโตให้ไปวิเศษชัยชาญ

ใครอยากเป็นสมภารให้ไปแสวงหา

ใครอยากกินผักกินปลาให้ไปสามโก้

ใครอยากคุยโม้ให้ไปอำเภอเมือง"

ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดก็คิดว่าคงเข้าใจกันดีนะครับ ยกเว้นแต่ "อำเภอเมือง" ต้องบอกกล่าวนิดหน่อยเพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพ ว่าเขาคุยโม้กันชนิดฮาแตกปานใด

"บ้านข้าปลาชุมมาก ถ้าจะทอดแหต้องแหวกปลาเสียก่อน ถึงจะลงแหได้"

"เอาเกล็ดปลาตะเพียนเป็นกระเบื้องมุงหลังคา คิดซิว่าปลาตัวมหึมาปานใด"

เอาละครับ โหมโรงกันพอหอมปากหอมคอ ขืนติดลมมากกว่านี้เดี๋ยวก็ไม่ได้เล่าเรื่องขนหัวลุกกันพอดี!

คืนนั้นที่วัดใกล้บ้านมีหนังกลางแปลงในงานศพของตาเทียน ฐานะเศรษฐีประจำตำบล ชาวบ้านร้านช่องก็อุ้มลูกจูงหลานไปดูหนังกันคึ่กๆ หนุ่มสาวควงคู่จู๋จี๋กันน่าอิจฉา พวกไอ้หนุ่มตึงตัวก็เร่เข้าไปเกี้ยวพาราสี แทะโลมกันดื้อๆ ตามประสาลูกทุ่ง มีทั้งสำเร็จกับล้มเหลวเป็นของธรรมดา พวกรถเข็นแผงลอยขายของกินของเล่นติดไฟสว่างไสว

พอถึงเวลาฉายหนัง คนนั่งดูกันหัวดำ พวกหนุ่มๆ สาวๆ มักจะยืนอยู่ด้านนอก...แม้ว่าจะเป็นหนังบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน สนุกสนานหายห่วง แต่พวกหนุ่มสาวกับวัยรุ่นไม่ค่อยสนใจ มัวแต่ขายขนมจีบกันเพลิดเพลินน่ะซีครับ

ผมกับเพื่อนๆ มีเจ้าแหวง เจ้าเบิ้ม เจ้าน้อย ยังหนุ่มไม่ตึงตัวเลยมองดูรุ่นพี่เขาอี๋อ๋อกันมั่ง ดูหนังมั่ง แหม! สองเรื่องเต็มๆ นั่นแน่ะ น้าบัติเล่นเป็นพระเอกเชิดชิ่งกับผู้ร้ายเป็นโขยง ลงท้ายเหล่าร้ายก็หมอบกระแตตามฟอร์ม

หนังจบ งานเลิก ผู้คนทยอยกันกลับบ้าน แต่บ้างก็ยังอ้อยอิ่งซื้อผัดไทย ซื้อขนมไปฝากทางบ้าน แต่พวกเราไม่สน...เดินออกหลังวัดที่มืดครึ้มด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ พูดคุยกันถึงเรื่องหนังที่เพิ่งดูมาหยกๆ ครู่เดียวก็มองเห็นหลังคาบ้านอยู่ในแสงจันทร์ข้างแรมอยู่ไกลๆ

อ้าว? ใครกำลังเดินเหย่าๆ อยู่ข้างหน้า?

ผู้ชายผอมสูง ผมยาวปรกท้ายทอย นุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อคอกลม...เราไม่สนใจอะไรหรอกครับ คิดว่าเป็นคนที่มาดูหนังแล้วกลับบ้านก่อนเราเท่านั้นเอง

เสียงยอดไม้ไหวซ่าอยู่เหนือหัว ตามด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากเบื้องหลัง หันไปดูแวบเดียวก็เห็นคนเดินตามมาเป็นกลุ่มใหญ่...จนกระทั่งผ่านมะม่วงป่าต้นใหญ่สะบัดใบเกรียวกราว ราวกับมีใครขึ้นไปขย่มอยู่ข้างบน ทำให้เราเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆ กัน แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดครึ้ม

ทางเดินคดเคี้ยวนิดหน่อย แม่ม่ายลองไนพร่ำเพรียกมาเข้าหู แต่จู่ๆ ก็หายเงียบไป

พวกเราชักจะเงียบเสียงลง ร่างผอมๆ ที่เดินนำหน้าก็คล้ายจะทอดน่องจนเราเดินใกล้เข้ามาทุกที...และแล้วแกก็หันขวับมามองเราพร้อมกับยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกจดใบหู

"ตาเทียน!!" เสียงเพื่อนๆ ร้องลั่น แต่ผมรู้สึกเลือดหายวูบไปจากใบหน้า ต้นคอเย็นเฉียบก่อนจะแล่นวาบไปตามไขสันหลัง จำได้ว่าพวกเราผงะหน้า ตาเหลือกลาน ร่างนั้นหันหน้ากลับ เดินเหย่าๆ จนหายลับไปต่อหน้าต่อตา...ไม่ขาดใจตายคาที่ก็เป็นบุญแล้วครับ! บรื๋อออ

คลิป บุกบ้านร้าง เจอผีกลางวันแสกๆ!!

คลิกเพื่อดูคลิป ได้เลยครับ

http://738bd448.linkbucks.com/

เมื่อเข้าป่าเห็นอะไร?? อย่าทัก!!

เรื่องมีอยู่ว่า ต้น รวมตัวกับเพื่อน ๆ ได้กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 10 คน แล้วนั่งคุยกันว่า เด๋วหลังเสร็จงานจัดโปรแกรม ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน พองานเสร็จ ทุกอย่างลงตัว ก็เลยมานั่งคุยกันว่า ไปไหนดี เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ไปดอยอินทรานนท์มั้ย แต่อีกคนบอกว่าฝนตก ไม่สนุกหรอกเข้าป่า พอคุยกันไปคุยกันมา ไม่ได้ข้อสรุป ต้นเลยบอก เอาตามที่เอ็งบอกนั้นละ ดอยอินทรานนท์ นั้นละ

พอได้ข้อสรุป ก็แยกย้ายไปเก็บข้าวของ ก็ขับรถไป พอไปถึงที่ ดอยอินทรานนท์ จอดรถเสร็จ ทุกคนหยิบกระเป๋าของตัวเอง แล้วเพื่อนผม จังหวะว่า พาแฟนไปเปลี่ยน บรรยากาศ พอเราเดินไปได้สักพัก ( นี้คือเดินอยู่ในป่าแล้วนะครับ ) แฟนเพื่อนผม ไปเจอสิ่งที่แบบว่า คล้าย ๆ กับ แก้วน้ำอะไรสักอย่างเนียละ เลยเดินไปจับ แล้วหยิบมาดู ก็ไม่มีอะไร พอหันไปตันไม้ต้นอื่น ก็มีสิ่งแบบเดียวกันอีก เลยหันมาบอกว่า รีบไปเถอะวะ มันจะมืดละ รีบเดินไปให้ถึงจุดกางเต้นเถอะ

พอเดินไปได้สักระยะหนึ่ง แฟนเพื่อนผมก็บอกว่า อ้าวเห้ย พวกเอ็งเห็นอะไรนั้นปะหายเข้าไปแล้วอะ บนต้นไม้ ทุกคนบอก เห้ย เข้าป่าเห็นอะไร อย่าทัก สิ่งดีก็มีไม่ดีก็มี รีบไปเถอะ มันโพ้ลเพ้ลแล้ว จากนั้นก็ เดินแล้วก็เที่ยวตามปกติ แต่เรื่องมันมาเกิดตอนที่เดินทางกลับ

แฟนเพื่อนผมพูดขึ้นว่า ขอไปด้วยได้มั้ย เพื่อนผมเลยบอกว่า "อ้าวไอห่า แฟนเอ็งเป็นไรว่า อยู่ ๆ บอกว่า ไปด้วยได้มั้ย" เพื่อนผมเลยบอกว่า "มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ หรือว่าเอ็งจะอยู่เที่ยวกันต่อ 2 คน" ผมได้ยินเสียงที่ตอบมาแบบช้า ว่า "ขอบคุณ"

ทุกคนหันมองหน้าแล้วเดินต่อ ต้นคิดในใจแล้วว่า มันต้องมีอะไรแน่เลย เพราะว่าทำไมตามัน ขวาง ๆ แปลก ๆ เหมือนไม่ใช่แฟนเพื่อนผม ที่ต้นรู้จัก พอกลับมาถึง กทม. ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เอาของไปเก็บ แล้วเดียวมาเจอ บ้านต้น นั่งกินสุรา กัน เพื่อนผมคนนั้นมันก็พาแฟนมันมานั่งด้วย แล้วต้นจำได้ติดตาเลยว่า ในวงมีไก่ต้มน้ำปลา กับ หอยแครงอยู่

แฟนเพื่อนผมบอก หิวข้าวจัง ต้นเลยบอกว่า เห้ยเอ็งไปตักข้าวมาให้แฟนเอ็งกินดิ พอตักมาให้ก็ไม่กิน กินเข้าไปไม่ถึง 2 คำ แล้วบอกอิ่ม สุราหมดไป 1 กลม บางคนก็เดินไปเข้าห้องน้ำ บางคนออกไปคุยโทรศัพท์ ส่วนเพื่อนผม อีก 2 คนออกไปซื้อมาต่อ

ในวงไม่เหลือใคร นอกจาก แฟนเพื่อนต้น ทีแรกต้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็นั่งคิดว่าแฟนเพื่อนต้น ปกติมัน เฮฮ่า นิหว่าทำไมวันนี้มันเงียบผิดปกติว่ะ

แล้วเพื่อนผมอีกคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ก็เรียกต้นว่า เห้ยมาดูไรนี่ดิ เห็นเต็ม ๆ 2 ตาเลย ไก่ที่วางอยู่ แฟนเพื่อนผมกินแบบ ใส่มือฉีดอะ กระชาก ไม่ก็ไม่น่าแปลกอะ แค่กินไก่อาจจะกินไม่ถนัด แต่ที่แปลกคือ แฟนเพื่อนผมคนนี้ มันสำอางมาก ไม่มีทางที่จะทำแบบพวกต้นแน่ กินหมดเสร็จจะพูดยังไง เอาเป็นกินแบบสกปรก อะ

ก็ยังไม่สนใจอะไร แค่ดูแล้วมันแปลก ๆ ไป เท่าไรยังไม่ได้คิดไรมาก พอมา 2 วัน เพื่อนโทรมาบอกว่า แฟนมันชอบให้ซื้อของ สด ๆ ดิบ ๆ มาให้ บอกว่าจะเอาไว้ทำกับข้าว แต่พอเช้า ของที่ซื้อมาหายหมด ทุกคนเลยบอกว่า ผิดปกติแล้วละ

เลยรวมตัวกันแล้วบอกเพื่อนคนนั้นว่า วันนี้ไปซื้อมาอีกนะ แล้วมาแอบดูกันว่า มันเกิดอะไรขึ้น ผมที่ได้คือ แฟนมันลุกขึ้นมากลางดึก มาหยิบของพวกนั้นกินแบบ ไม่ใช่คนอย่าเรา ๆ กินอะครับ ที่เห็นอะ ต้นเลยบอกว่า ไม่ใช่แล้วอะ เลยบอก ลองเอาพระให้ใส่ พอให้พระใส่ ก็ปกติดีทุกอย่า พูดจารู้เรื่อง

ต้นก็ งง ว่าถ้าผีเข้าหรืออะไรยังไง เจอพระก็ต้อง ออกหมด แต่นี้ปกติ เลยบอกว่างั้นพาไปที ตำหนักอาจารย์ต้นแล้วกัน ไม่ขอบอกนะครับว่าที่ไหน พอไปถึงที่ ตำหนัก อาจารย์เลยถามว่า "ไปโดนอะไรมา" ก็เลยลอง ๆ เล่าให้ฟังว่า หน้าจะเป็นแบบนี้นะ

อาจารย์ต้นเลยบอกว่า แฟนเพื่อนเอ็ง โดนของดีแล้วละ สรุปง่าย ๆ เลยคือ ปอบผีฟ้า ที่เราเคยได้ยินชื่อหรือที่ชมกันตามทีวี นั้นละ ต้นยังบอกเลยว่า ปอบผีฟ้า ยังมีอยู่อีกหรอ อาจารย์ อาจารย์บอกว่ามีเยอะ ทางเหนือ พวกนี้จะอยู่ตามต้นไม้ ต้นเลยนึกขึ้นได้ ที่มันทักที่มันหยิบมา เลยเล่าให้เค้าฟังว่าแบบนี้ ๆ

แล้วก็บอกว่า ต้นเอาพระให้ใส่ก็ปกติดีนะ อาจารย์เลยบอกว่า พวกนี้ เป็นชนิดที่ว่าเก่งแล้ว แล้วที่เพื่อนเอ็งไปเจอเนีย ที่วาง ๆ ไว้ตามต้นไม้เนีย คือพวกที่แบบว่า ชนิดที่ว่า คนเลี้ยงเอาไม่อยู่แล้ว หรือที่เรียกว่า ขันแตก ประมาณนั้น

จากนั้น อาจารย์เลยบอกว่า ปิดหน้าต่าง ปิดประตูให้หมด แล้วจับแฟนเพื่อนผมให้ดี อาจารย์ก็ทำการ เรียกขวัญ แล้วก็เอาน้ำมนต์ ทำเหมือนในหนังเลย แล้วพอตนนั้นออกจากร่าง อาจารย์บอกว่า "ทำใจได้เลย ไม่เกิน 3 วัน" เสียชีวิต เพื่อนผมเลยบอกว่า "ทำไมหรอครับ ออกไปแล้วทำไมแฟนผมต้องตาย"แล้ว อาจารย์ต้นเลยบอกว่า ตนนั้นมาสิงกินข้างในไปหมดแล้ว ที่แฟนเอ็งอยู่ใน เพราะว่า ผีปอบตนนี้ พอผีออกไป แฟนเอ็งก็เหมิอนร่างที่ไร้วิญญาณแล้วละ

แล้วต้นเลยถามว่า "ไม่มีวิธีช่วยเลยหรอครับ" อาจารย์บอกว่า "ไม่มีแล้วละ ทำใจซะเถอะ เกิดก็ต้องมีจาก มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องชดใช้กรรมทั้งนั้นละ" เพื่อนผมเลยกอดแฟนมันแล้วร้องไห้แบบเด็กเลย ผมยังมานั่งคิดเลยว่าถ้าเกิดขึ้นกับครบครัวผมหรือคนรู้จัก เราจะทำอย่างไงดี จากนั้นไม่ได้ ได้ประมาณ 4 วัน แฟนเพื่อนผมก็เสียชีวิตลง ร.พ.ศิริราช ตรวจแล้วลงในบัตรมรณะว่า เครื่องในหยุดทำงานเฉียบพัน

ขอแสดงความเสียใจกับ กับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ

เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จำไว้ว่าพบเห็นสิ่งใดอย่าทักถึงบ้านหรืออะไรแล้วค่อยมาเล่าให้ฟัง ไม่งั้นอาจจะเป็นเหมือนเรื่องที่ต้นได้เล่าให้ฟังนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตุ๊กตาผี!!

1. "เเมนดี้"
ริ่มจากตัวแรก "แมนดี้" ตุ๊กตาผีขี้เล่น
สาว น้อย “แมนดี้” หรือ “มิเรียนด้า” เป็นหนึ่งในศิลปะวัตถุที่อยู่ใน พิพิธภัณฑ์ “เควสเนล”
ประเทศแคนาดา แต่ทว่าศิลปะวัตถุชิ้นนี้ขี้เล่นมากไปหน่อย
“แมน ดี้” ถูกหญิงสาวผู้หนึ่งบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งในตอนนั้นสภาพ
ของเธอแทบจะดูไม่ได้เลย เสื้อผ้าก็กะรุ่งกะริ่งแถมร่างกายก็มีรอยฉีกขาดอยู่เต็มไปหมด
เจ้าของเดิมของ “แมนดี้” เล่าว่า เธอมักจะตื่นมากลางดึกพร้อมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้สะอึก
สะอื้นจากห้องใต้ดิน เธอจึงเดินตามหาเสียงร้องโหยหวนนั้นไป แต่กลับพบเพียงหน้าต่างที่เปิดทิ้ง
ไว้ ทั้งๆที่เธอปิดหน้าต่างไว้ดีแล้ว แต่หลังจากที่ผู้บริจาคยก “แมนดี้” ให้กับพิพิธภัณฑ์ เธอก็ไม่
เคยได้ยินเสียงร้องนั้นอีกเลย
หลาย คนมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ยังบอกด้วยว่า พวกเค้าเคยเห็น “แมนดี้” กะพริบตาและจ้องมอง
พวกเค้า ส่วนเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ก็มักจะเห็นเธอไปโผล่อยู่ตามห้องต่างๆ








2.“แอนนาเบล สุดน”
ในปี 1970 มีคุณแม่ใจดีผู้หนึ่งซื้อตุ๊กตา “เร็กเกดี้แอนด์” ขนาดเท่าเด็ก 4 ขวบ
(ที่มีผมเป็นไหมพรมสีแดงและใส่ชุดเอี้ยม) เป็นของขวัญวันเกิดให้กับลูกสาวของเธอ
ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของความอาถรรพณ์ระดับตำนาน

“แอนนาเบล”เป็นตุ๊กตา ที่มีความชั่วร้ายมาก จนต้องนำไปขังไว้ในกล่องแก้วที่พิพิธภัณฑ์
“ออคคัลท์” ของ “เอ็ด วอร์เรน” ชายผู้หลงใหลในเรื่องเหนือธรรมชาติ
เรื่องเล่ากล่าวไว้ว่า “เอ็ด” ได้ตุ๊กตาตัวนี้มาจากบาทหลวงที่ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเค้า
เนื่องจากมีพยาบาลสาว 2 คน “ดอนน่า”และ “แองจี้” ได้เจอกับวิญญาณของคนที่สิงสู่อยู่ในร่าง
ตุ๊กตาที่แม่ของ “ดอนน่า” ซื้อให้เป็นของขวัญ
พยาบาล ทั้ง 2 คน เล่าว่า “แอนนาเบล” ย้ายที่ไปเรื่อย ทั้งที่มันถูกตั้งไว้บนชั้นวางของ หลัง
จากนั้นไม่นานตุ๊กตาตัวนี้ ก็เริ่มมีท่าทางเหมือนกับมนุษย์

ทั้งคู่รู้สึกเหมือนโดน “แอนนาเบล” จ้องมองตลอดเวลา และในที่สุดมันก็ค่อยๆทำร้ายพวกเธอ
จนต้องขอความช่วยเหลือจาก “เอ็ด วอร์เรน”

ทุก วันนี้ “แอนนาเบล” ก็ยังไม่หยุดความนไว้เพียงเท่านี้ เพราะมีรายงานว่า ทุกๆอาทิตย์ เธอ
ยังคงออกมาจากกล่อง และสร้างความสยองให้กับคนที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์








3. “ฮาโรลด์ ผีตัวแรกของอีเบย์”
“ฮาโรลด์”ถือว่า เป็นตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกนำมาประมูลในเวปไซต์”อีเบย์”เลยก็ว่าได้
คนขายกล่าวว่ามันถูกสร้างขึ้นในปี 1930 และถูกนำมาใช้ในการแสดงหนังสั้น
ซึ่งหลายคนเห็นว่ามันค่อยๆขยับร่างกายได้เอง

จากนั้น “ฮาร์โรลด์” ก็กลายมาเป็นตุ๊กตาผีสิงที่มีชื่อเสียง ทั้งใน Internet และบทความตาม
หน้าหนังสือพิมพ์ ต่างก็พูดถึงความน่าสะพรึงกลัวของมัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคลิปวิดีโอของ “ฮาโรลด์”ที่มีเสียงหมุนนิ้วมือขวา
ทั้งๆที่วัสดุตรงนิ้วมือเป็นของแข็ง อย่างไรก็ตามเจ้าของคนใหม่ของ “ฮาโรลด์ ผีสิง” ได้นำมัน
ไปซ่อมแซมให้เหมือนใหม่ จนทำให้หลายคนอยา**ผม**้ว่า จริงๆแล้วมันมีผีสิงหรือไม่ ?

คำตอบของผู้ครอบครองเจ้าตุ๊กตาผีตัวนี้คือ “ไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้”








4. "คิคุโกะ" ตุ๊กตาผีญี่ปุ่น
ตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่วัดมันเนน หมู่บ้านคุริซาว่า อ.โงจิ ฮอคไกโด
เด็กหญิงเจ้าของตุ๊กตาชื่อว่า "คิคุโกะ"

คิคุโกะรักตุ๊กตาตัวนี้มาก ป้อนข้าวป้อนน้ำนอนด้วยกัน
หลังจากนั้นคิคุโกะก็ได้ป่วยและเสียชีวิตลง
พ่อและแม่ของเธอจึงนำตุ๊กตานี้ไปไว้กับป้ายวิญญาณของเธอเพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนเล่น
ตุ๊กตาที่แต่เดิมผมสั้นกลับมีผมยาวลงมาจนเลยไหล่

คิคุโกะจังตายมานานกว่า 60 ปีแล้ว นอกจากผมที่ยาวได้แล้ว
ปากของตุ๊กตาที่เคยหุบสนิท กลับเปลี่ยนเป็นเผยอยิ้มขึ้นมาด้วย

ปัจจุบันที่วัดมันเนนในวันที่พระอาทิตย์ข้ามเส้นศูนย์สูตร
ทำให้กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ได้ถูกกำหนดให้เป็นวัน "ตุ๊กตาคิคุ"
ซึ่งจะมีพิธีการตัดผมที่ปรกหน้าตุ๊กตาออก และเปลี่ยนกิโมโนให้ใหม่
หลังจากนั้น ผมที่ตัดแล้วก็ยังคงยาวใหม่อยู่เสมอ
วันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จะมี "พิธีตัดผม" ของตุ๊กตา
*ข้อมูลจากหนังสือ อาถรรพณ์ผีญี่ปุ่น 2








5. “เมอร์ซี่ ผีเด็ก”
“เชอร์รี่ คุน”เป็นเจ้าของตุ๊กตาหน้าตาน่ารักสูง 45 เซนติเมตร
ที่คาดว่าจะมีวิญญาณของเด็ก7 ขวบสิงอยู่ ตั้งแต่เธอประมูลมันมาจากเวปไซต์อีเบย์

ก่อนหน้านี้ “เชอร์รี่” เคยคิดว่า เรื่องตุ๊กตาผีพวกนี้เป็นเพียงเรื่องสยองขวัญในหนังฮอลลีวู้ด
เธอจึงประมูลตุ๊กตาตัวนี้เพื่อทำการพิสูจน์ความจริง

เมื่อ “เชอร์รี่”ได้ตุ๊กตามาเธอก็ทำการตรวจสอบมัน โดยการถ่ายภาพและใช้กล้องวิดีโออัดภาพ
“เมอร์ซี่” ทั้งวันทั้งคืนในที่สุดตุ๊กตา”เมอร์ซี่” ก็แผลงฤทธิ์ให้เธอเห็นในตอนกลางดึก
หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ จู่ๆวิทยุในห้องก็เปิดขึ้นเองและเปลี่ยนคลื่นไปมาเรื่อยๆ

หลังจากนั้นอีก 2 วัน “เชอร์รี่”ตื่นขึ้นมาและพบว่า ตุ๊กตาหล่นจากตู้ แต่ไม่ได้หล่นมาในท่านั่ง
เพราะเจ้าตัวนี้หล่นลงมาแล้วยืนอยู่บนขาของตัวมันเอง

เรื่องพิศวงก็ยังคงมีมาไม่หยุดไม่หย่อน แต่”เชอร์รี่”ก็ยังคงเก็บตุ๊กตานี้ไว้เพื่อค้นหาความจริง
เกี่ยวกับมัน แม้ว่าเธอจะรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่”เมอร์ซี่”อยู่ใกล้ๆ

ป่าช้าผีดุ!!

"เสมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่าในสวนมะพร้าว

เพราะอารามอยากจับขโมยมะพร้าวแท้ๆ ที่ทำให้ผมกับเพื่อนๆ คือไอ้ล้วนกับไอ้ลิ้มต้องเจอะเจอเข้ากับเหตุการณ์ สยองขวัญ โดนผีหลอกกระเจิดกระเจิงจนหวิดจะจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กัน

ตั้งแต่คืนนั้นพวกเราก็เลยเลิกทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระปะปังของตัวเอง แต่ยังงั้นยังไม่วายเจอดีเข้าเลย คุณเอ๋ย....คนเราบทมันจะซวยน่ะ ถึงแม้ไม่รนหาเรื่องก็จริงอยู่ แต่จู่ๆ เรื่องขนลุกขนพองมันก็โผล่เข้ามาหาเราดื้อๆ ซะยังงั้นเอง!

สาเหตุมาจากนิสัยสนุกซุกซน ชอบเที่ยวเตร่ ตามประสาชายหนุ่มที่พลัดบ้านพลัดช่องมาเรียนรวมกันที่วิทยาลัยครูบางแสนนั่นแหละครับ

เสาร์อาทิตย์มักจะชอบไปเที่ยวชายหาดบางแสน ไอ้ล้วน บอกอยากไปสูดโอโซนให้ชื่นใจกับหาของอร่อยๆ กิน แต่ไอ้ลิ้มขัดคอว่ามึงอย่ามาอ้างหน่อยเลยวะ ของจริงน่ะอยากไปดูขาอ่อนพวกสาวๆ สวยๆ ในชุดอาบน้ำเดินฉุยฉาย ตามชายหาดมากกว่า

ไอ้ล้วนหัวเราะแหะๆ ไก๋ไปว่า ไม่ไปบางแสนก็ไปหาข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ กินที่ร้านเจ๊เล็กหน้าวิทยาลัยก็ได้วะ

วันดีคืนดีก็ขี่จักรยานไปเที่ยวหนองมนกัน! ไม่ต้องเสียเวลาออกถนนใหญ่ หรือต้องเสี่ยงกับรถราที่แล่นฉิวๆ เพราะด้านหลังวิทยาลัยมีทางลัด ดก สะพรั่งด้วยสวนมะพร้าวนับร้อยๆ ต้น บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว แต่ก็ย่นระยะทางได้ราวครึ่งต่อครึ่ง

มีเรื่องน่ากวนใจเล็กน้อยตรงที่เขาลือกันว่าที่นั่นเป็นป่าช้าเก่าของคนจีน ผีดุอย่าบอกใครเชียว!

แหม! ไม่ใช่ลือล่องลอยหรอกครับ เพราะเราเคยขี่จักรยานไปเจอศาลาตั้งศพเก่าๆ ถึงสองหลัง นอกจากนั้นยังมีฮวงจุ้ยเก่าแก่ กับหลุมศพที่เป็นเนินดินเห็นได้ชัด อยู่ในดงมะพร้าวนั่นเอง แต่เราขี่รถไปตอนกลางวันก็เลยไม่น่าขนลุกขนพองเท่าไหร่

ตั้งแต่โดนผีหลอกที่ศาลาตั้งศพร้างในป่าละเมาะแถวๆ ด้านหลังโรงอาหารของวิทยาลัยน่ะ ไม่มีใครริอ่านไปไหนมาไหนตอนกลางคืนหรอกครับ

อาทิตย์นั้นเราก็ตกลงจะไปเที่ยวหนองมนกัน!

ไอ้ล้วนอยากกินห่อหมก ไอ้ลิ้มอยากกินข้าวหลาม ส่วนผมก็ว่าจะหาซื้อขนมนมเนยมาไว้เป็นเสบียงยามหิวตอนกลางคืน...เป็นอันว่าตอนบ่ายๆ เราก็ขี่รถจักรยานไปด้วยกันในดงมะพร้าวที่ร่มครึ้ม คล้ายอาทิตย์จะลับหายอยู่หลังก้อนเมฆหนาทึบ...

เพื่อนสองคนแซวกันสนุกว่าใจจริงอยากไปดูสาวๆ ชาวกรุงเทพฯ ที่กลับจากตากอากาศพัทยามาแวะซื้อของฝากที่หนองมนมากกว่า ส่วนมากแต่งตัวฉูดฉาด อกอวบพุ่ง ตะโพกผึ่งผายกันทั้งนั้น บางคนเดาะกางเกงขาสั้นเดินบิดบั้นท้ายจนหนุ่มแก่หันมองแทบคอเคล็ดไปตามๆ กัน

ผมขี่รถนำหน้า ตามด้วยไอ้ล้วนกับไอ้ลิ้ม...จู่ๆ ทางมะพร้าวก็ดังซู่ซ่า ตามด้วยเสียงโครมๆ ติดกันสองครั้ง เล่นเอาหันขวับไปมองทางต้นเสียงด้วยอารามตกใจ แต่ไม่เห็นมะพร้าวซักลูกเดียว!

เอ๊ะ! ยังไง? ผมมองเห็นฮวงซุ้ยขาวโพลนสะดุดตาทางขวามือ แม้จะเคยเห็นมาก่อนก็จริง แต่วันนี้ดูมันอยู่ใกล้ทางแคบๆ ที่เราเคยผ่านไปมา แถมหลุมศพอีกหลายหลุมก็ใกล้เข้ามา แถมดูหนาตากว่าเดิมเหมือนกับมีใครเอาศพใหม่ๆ มาฝังเพิ่มยังงั้นแหละ

เป็นไปไม่ได้! ก็มันเป็นป่าช้าร้างนี่นา!

เหมือนมีอะไรดลใจให้หันไปมองทางซ้าย เห็นศาลาตั้งศพเก่าแก่ทั้งสองหลังอยู่ใกล้ๆ กัน เหลือกระดานอยู่ราว 4-5 แผ่น...แต่สิ่งที่ทำให้เย็นวูบที่ต้นคอ แล่นวาบลงมาตามแผ่นหลังก็คือภาพนั้น... ภาพของตาแป๊ะแก่ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงอยู่ที่นั่น ผมขาวโพลนเหมือนปุยฝ้าย...ฉับพลันทันใดตาแป๊ะกลุ่มนั้นก็หันขวับมามองเราเป็นตาเดียว

คุณพระคุณเจ้า? ตาแป๊ะทุกคนล้วนแต่มีใบหน้าเป็นโครงกระดูก นัยน์ตากลวงโบ๋ อ้าปากเห็นฟันกะดำกะด่างปะหงับๆ ส่งเสียงหัวเราะแหบโหย...ผมร้องเฮ้ย! รถเป๋ไปในพงหญ้า ก่อนจะตั้งหลักได้แล้วปั่นหนีภาพอุบาทว์เร็วจี๋...แต่ยังช้ากว่าเพื่อนทั้งสองคนที่มันพุ่งแซงหน้าปานลมพัด

จากหนองมนเราถีบรถกลับทางถนนหลวงครับ เข็ดหลายป่าช้าเก่าจนวันตาย!

คอลัมน์ ขนหัวลุก - ใบหนาด

วันอำลา

"นิธิศา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางอ้อ

เขาว่าคนที่โดนผีหลอกเป็นคนเคราะห์ร้าย เพราะหลังจากนั้นจะประสบแต่เคราะห์กรรมต่างๆ นานา ดิฉันเองเคยถูกผีหลอกเต็มเปา...บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องเคราะห์ร้ายหรือโชคดีอะไรเลย

คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่ช็อกตายคาที่ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลเหลือสติกำลังแล้วค่ะ

ขอเล่าเรื่องขนหัวลุกเลยนะคะ!

ดิฉันเป็นคนบางอ้อมาแต่อ้อนแต่ออก บ้านช่องอยู่ในสวนเปลี่ยว ถึงแม้จะมีซอยตัดเข้ามาก็จริง แต่สองข้างทางมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ร่มครึ้ม บ้านช่องก็มีน้อย ยังดีที่ไม่ค่อยมีโจรผู้ร้าย ยกเว้นแต่เรื่องผีๆ สางๆ ที่เล่าสู่กันฟังจนกลายเป็นของธรรมดาไปแล้ว

ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้น สวนกลายเป็นบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ร้านรวงผุดสะพรั่งที่ริมถนนและต้นๆ ซอยทั้งสองฟากฝั่ง มิจฉาชีพเริ่มมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างช่วยให้เข้าออกได้สะดวกและปลอดภัย...ถือว่าทันกันทั้งด้านบวกและลบ ตามความ

เจริญของบ้านเมือง

นับวันบ้านช่องก็ผุดขึ้นหนาแน่นสองฝั่งซอย เหลือที่ว่างๆ อยู่น้อยเต็มที

ซอยที่ผ่านหน้าบ้านดิฉันเข้าไปหน่อยก็ตัดลึกเข้าไปทุกที แถมคดเคี้ยวไปจนลับตา แต่ดิฉันไม่ได้ไปดูว่าลึกล้ำเข้าไปถึงไหน เพราะเช้าขึ้นมาก็นั่งมอเตอร์ไซค์ต่อรถเมล์ที่ปากซอยไปที่ทำงาน ตกเย็นหรือใกล้ค่ำก็มาขึ้นมอ

เตอร์ไซค์กลับบ้านเป็นประจำ

"ลุงนาค" คือ คนขี่รถรับจ้างที่กลายเป็นขาประจำกันไปโดยปริยาย เพราะมักจะพบกันแทบทุกวัน ตอนเช้าก็มาจอดรถรอที่หน้าประตูรั้ว ตกเย็นก็มักรอรับอยู่เสมอ

ซอยนี้มีที่น่ากลัวก็คือรถราต่างๆ ขับเร็วมาก เพราะความคึกคะนองหรือถนนโล่งๆ ก็ไม่ทราบแน่ชัด แน่ล่ะค่ะ ย่อมเกิดอุบัติเหตุบ่อยหน ตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงสาหัสกระทั่งลุงเสียชีวิตคาที่ บางรายก็ไปตาย

โรงพยาบาล

เสียงชาวบ้านร่ำลือว่าผีดุย่อมเป็นเรื่องหนีไม่พ้น!

ตอนดึกๆ มีเสียงหมาหอนระงมหัวซอยท้ายซอย มีคนเห็นร่างโชกเลือด บาดแผลเหวอะหวะเดินร้องห่มร้องไห้บ้าง รถมอเตอร์ไซค์ที่แล่นฉิวโดยไม่มีคนขับบ้าง ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดขีดบ้าง...ฟังแล้วนึกขำก็มี บางทีก็ขนลุกซู่เลยค่ะ

ลุงนาคขับรถเร็วในตอนแรกๆ จนดิฉันต้องขอร้อง อ้างว่าเป็นโรคหัวใจขอให้ขับช้าๆ หน่อย...ความจริงก็คือกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ลุงนาคก็ทำตามอย่างว่าง่าย...แต่ถ้าแกรับผู้โดยสารคนอื่นเป็นห้อตะบึง บางทียังหันมามองดิฉันที่อยู่ริมรั้วตอนเย็นๆ แล้วยิ้มให้ด้วยซ้ำ...ผมเห็นแก่คุณนะเนี่ย!

วันหนึ่งดิฉันก็ต้องประสบกับความงุนงง ใจหายวับ ตกตะลึงไป ลงจากรถเมล์ตอนเย็นจะเข้าซอยก็ได้ทราบข่าวว่าลุงนาคถูกรถกระบะชนที่หน้าบ้านดิฉันแล้วรีบบึ่งหนีไป ส่วนลุงนาคคอหักตายคาที่

ดิฉันขาสั่นแทบยืนไม่อยู่ เมื่อรู้ว่าแกส่งดิฉันแล้วรีบบึ่งไปรับเด็กนักเรียนขาประจำที่ก้นซอย แต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตเสียก่อน

ถึงแม้จะคุ้นเคยกันในระยะหลังๆ แต่ก็ไม่สนิทสนมถึงกับไปงานศพลุงนาค นอกจากทำบุญใส่บาตร แล้ว

กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น...ตกกลางคืนก็อุปาทานว่าได้ยินเสียงรถของแกแล่นชะลอผ่านไป บางทีก็หยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แต่ดิฉันไม่กล้าลุกออกมาดู

จนกระทั่งถึงวันขนหัวลุก!

ดิฉันกำลังจะเปิดประตูรั้วออกไปทำงานตอนเช้าวันฟ้าครึ้มฝน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาทางปากซอย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้นึกถึงลุงนาค...ก็พอดีรถคันนั้นแล่นเข้ามาแล้วเสียหลักกะทันหันคล้ายถูกชนเสียง "โครม!" ก่อนที่จะกลิ้งเค้เก้ไปยังรั้วอิฐฝั่งตรงข้าม

นรกเป็นพยาน ลุงนาคนั่นเองที่ประคองลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่ร่างโชกเลือด...ดิฉันยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน หรือตกอยู่ในความฝันสุดสยอง เบิกตาจ้องมองลุงนาคผู้ขึ้นนั่งคร่อมอาน หันมายิ้มเศร้าๆ รววกับจะเอ่ยคำอำลาก่อนจะตะบึงรถเสียงกระหึ่ม...เลือนรางจางหายไปจากม่านน้ำตาของดิฉันเอง

ไปสู่สุคติเถิดนะลุงนาค ฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้อีก...อย่ามาปรากฏตัวให้ฉันหวิดช็อกตายอีกเลยค่ะ...บรื๋อส์!



ขนหัวลุก-ใบหนาด

บ้านว่างให้เช่า!!

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2552 ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานบุญที่วัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เห็นว่ามีเนื้อหาสาระน่าสนใจนำมาบอกกล่าวท่านผู้อ่าน ดังนี้

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ถวายพระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา

ในการนี้พระอธิการชัชวาล จตฺตมโล เจ้าอาวาสวัดป่าหนองหินได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูโชติปัญญาคุณ

ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนา โดยนิมนต์ พระเดชพระคุณ พระธรรมดิลก เจ้าอาวาสวัดป่าแสงอรุณ เจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) จังหวัดขอนแก่น เป็นองค์แสดงในวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2552

ครั้นถึงเช้าวันนั้น ศิษยานุศิษย์และญาติโยมทยอยกันมา ข้าวหม้อแกงหม้อ ขนมนมเนยพร้อมสรรพ อันเป็นประเพณีดีงามของพี่น้องชาวอีสาน ไม่ช้าก็แน่นลานวัดอันร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย อุบาสกอุบาสิการาวสิบคนวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมอาหารคาวหวานเพื่อเลี้ยงพระและเลี้ยงผู้มาร่วมงานบุญโดยทั่วกัน

ไม่ช้าเสียงเจริญชัยมงคลคาถาก็ดังผ่านเครื่องขยายเสียงออกมา!

หลังจากนั้น พระเดชพระคุณ พระธรรมดิลก ก็แสดงธรรมเทศนาอันเป็นพุทธวัจนะด้วยน้ำเสียงกังวานน่าเลื่อมใส ใช้ภาษาเรียบง่ายให้ทายกทายิกาทั้งปวงได้เข้าใจโดยทั่วถึงกัน จนกระทั่งถึงเวลาประเคนภัตตาหารให้พระภิกษุ...โฆษกประกาศว่าต่อไปนี้ขอให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินกับหมอลำชื่อดังจากขอนแก่น นั่นคือคณะ "ซูเปอร์ยาว"

คณะนี้มีชื่อเสียงจากการออกทีวีที่กรุงเทพฯ บ่อยครั้ง เคยร่วมกับละครทีวีบางเรื่องจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายในภาคอีสานเป็นวงกว้าง

หัวหน้าคณะเป็นหนุ่มใหญ่ หน้าตายิ้มแย้มแจ่ม ใสอารมณ์ดี กับหมอลำหนุ่มน้อยหล่อเหลาและหมอแคนรวมสามชีวิต ก้าวเข้ามายืนเด่นอยู่กลางศาลา แล้วเสียงแคนแล่นแตด้วยท่วงทำนองสนุกสนานรื่นเริงก็ดังขึ้นโดยพลัน

ญาติโยมเริ่มทยอยกันเข้ามานั่งแทบเต็มศาลา แหงนหน้าจ้องมองวงหมอลำด้วยความชื่นชม หัวหน้าคณะบอกกล่าวว่า...ฟังหมอลำหนุ่มก่อนแล้วค่อยฟังหมอลำเฒ่า!

หมอลำหนุ่มเริ่มต้นเป็นคนแรกด้วยลำทางล่องเรื่อง "การะเกด" อันเป็นตำนานพื้นบ้าน คล้ายๆ กับท้าวผาแดงกับนางไอ่, ท้าวขูลูกับนางอั้ว...สุ้มเสียงหวานเสนาะเพราะพริ้งปานจะสะกดให้อุบาสิกาเงียบกริบทั้งศาลา

คุณน้าคุณป้าผู้เป็นแฟนหมอลำ ควักใบละ 20 บาทเอายัดใส่มือให้หนุ่มน้อยหน้าใสแทบไม่หยุดหย่อน

ต่อจากนั้นก็ถึงรอบของซูเปอร์ยาว-หรือหมอลำรุ่นใหญ่ที่แพรวพราวด้วยลูกเล่นและอารมณ์ขัน จนอุบาสกอุบาสิกาหัวเราะกันแทบงอหาย...มีการบอกกล่าวว่าจะร้องกลอนลีแล้วตามด้วยกลอนเลา...ความชำนาญเวทีนั้นถือว่าจัดจ้านหาตัวจับยากเต็มที แม้แต่เจ้าตัวยังอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะขอโทษขอโพยที่ไม่อาจจะว่ากลอนลำได้โจ๋งครึ่มเพราะเป็นในวัดวา เดี๋ยวจะไม่เหมาะไม่ควร

พอจะจดจำได้กลอนเลากระท่อนกระแท่นมาเล่าสู่กันฟังนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี

"วันหนึ่งยายเต่าแกตื่นแต่เช้า แกปวดท้องเบาเลยลงบันไดจะไปเบาเลยโดนงูเห่ามันตอดเอา..." เท่านี้ก็แทบจะขำกลิ้งไปตามๆ กัน ยิ่งร้องเพลง "มนต์รักลูกทุ่ง" แปลงเนื้อในแบบหมอลำ ขนาดหมอแคนยังแทบสำลักก็แล้วกัน

ก่อนจบขอเล่าเรื่องผีที่ตำบลโคกก่อเสียหน่อย...มีสามีภรรยาความรู้ระดับด๊อกเตอร์มาเช่าบ้านอยู่ที่นั่น ตอนดึกๆ ภรรยาจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้เป็นประจำจนขอให้สามีย้ายบ้านจนสำเร็จ แต่ก่อนจะย้ายสามีก็ได้ยินเสียงร้องไห้ นึกว่าเป็นเสียงภรรยาแต่ได้รับคำตอบว่า...ฉันไม่ได้ร้อง ผีบ้านนี้ร้องไห้ต่างหาก!

คืนนั้นเอง เธอก็ฝันเห็นผู้หญิงมานั่งร้องไห้ที่ปลายเตียง ตัดพ้อต่อว่าที่ย้ายบ้านหนี คนที่มาเช่าอยู่ต่อไปได้ยินเสียงเธอร้องไห้คงจะหาหมอผีมาขับไล่ไสส่งเธออย่างแน่นอน

หลังจากนั้นก็มีคนมาเช่าอยู่แล้วย้ายออกไป...ทุกวันนี้ยังติดป้าย "บ้านว่างให้เช่า" อยู่เลยครับ!

ขนหัวลุก-ใบหนาด

ข้อควรปฏิบัติเมื่อไปสำรวจผีสิง

ข้อควรปฏิบัติเมื่อไปสำรวจผีสิง

International Ghost Hunting Society ได้กำหนดมาตราฐานข้อควรปฏิบัติในการสำรวจภาคสนามซึ่งได้มาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา. มาตรฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้สนใจ โดยเฉพาะมือใหม่ที่อาจถ่ายภาพผิดพลาดได้เสมอ.



ข้อควรปฏิบัติมีดังนี้



บอกกล่าวดวงวิญญาณก่อนเพื่อขออนุญาตถ่ายภาพพวกเขา.

ไม่สูบบุหรี่หรือทำให้เกิดควันขณะทำการสำรวจ

ไม่ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์, ทั้งก่อนและขณะไปทำการสำรวจ

ไม่เล่นผีถ้วยแก้ว ผีเหรียญ ขณะไปทำการสำรวจ

ไม่ควรถ่ายภาพในเวลาที่สภาพอากาศไม่ดี เช่นในช่วงที่มีฝนตก, หมอก, ลมแรง, มีฝุ่นมาก เป็นต้น

ไม่ควรถ่ายภาพจากยานพาหนะที่กำลังวิ่งอยู่ ควรลงมาหรือจอดก่อนแล้วจึงถ่ายภาพ

และไม่ควรถ่ายภาพขณะกำลังเดินอยู่ด้วย

ควรทำความสะอาดกล้องให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเลนส์

ควรมีสายสะพายกล้องด้วย เพื่อความสะดวก

ไม่ควรถ่ายภาพกับวัตถุที่สะท้อนแสงหรือผิวมัน เช่น กระจก

เวลาถ่ายภาพให้ระวังนิ้วที่อาจบังเลนส์ได้

ระวังเส้นผมบังเลนส์หากคุณเป็นคนผมยาว


ไม่ควรวิ่งเล่นหรือส่งเสียงดังในสุสานหรือสถานที่โบราณ

ควรแสดงความเคารพในสถานที่นั้นๆ ด้วย

หากต้องการบันทึกเสียง ควรใช้เทปเปล่าที่ใหม่มาบันทึกจะดีมาก

หากภาพที่ถ่ายได้พบสิ่งผิดปกติ ควรตรวจสอบกับฟิล์มอีกครั้ง เพราะบางทีอาจเกิดจากความผิดพลาด
ตอนล้างอัดภาพก็เป็นได้

การใช้แฟลชจะใช้ได้ดีในรัศมี 9-12 ฟุต (3-4 เมตร) จากกล้อง

สิ่งสำคัญคือควรทำใจให้สบาย ไม่ควรอารมณ์เสียเมื่อทำการสำรวจ

โชคดีกับการสำรวจทุกคนนะครับ



ที่ไหนบ้างที่จะเจอผี


International Ghost Hunter Society ได้บอกไว้ว่า ผีมีอยู่ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านร้างเก่าแก่ สุสาน หรือว่าสถานที่ใหม่ๆ เช่นตึกหรือบ้านที่มีคนอยู่

ผีมักจะอยู่เป็นแห่งๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าก่อนนั้นผู้ตายอาจทำงานหรือพักอาศัยในสถานที่นั้นๆ ซึ่งเขาชอบเป็นประจำ เมื่อตายลงจึงยังไม่ไปไหน คอยวนเวียนผูกพันกับสถานที่นั้นๆ ตลอดเวลา

จากการศึกษาพบว่าผีนั้นมีความฉลาด มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนกับคนทั่วไป เพียงแต่ว่าพวกเขาไร้ซึ่งร่ายกายเท่านั้น

คุณไม่ต้องหาบ้านผีสิงเพื่อจะพบผี แต่คุณสามารถไปที่ไหนก็ได้เพื่อเจอ เพราะผีมีอยู่ในทุกที่

ลองเริ่มต้นดูกับสถานที่ที่คุณรู้สึกว่าน่ากลัว หรือลึกลับเมื่อก้าวย่างเข้าไป ซึ่งนั่นจะเป็นสถานที่ที่มีผี แม้กระทั่งตึกสร้างเสร็จใหม่ๆ หรือว่าบ้านที่มีคนอยู่ก็ตาม


เวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายรูปผีคือหลังยามโพล้เพล้ ตั้งแต่ย่ำค่ำเป็นต้นไป คุณควรถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นสีดำ ซึ่งอาจเป็นป่าทึบก็ได้ ขอแนะนำให้ถ่ายด้วยแฟลช เพราะจะสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งผีด้วย

ฟิล์มที่ใช้ควรเป็นฟิล์มไวแสงมากๆ เช่น Kodak Gold 400 หรือ 800 Max เป็นต้น

ควรจัดผังเวลาการสำรวจผีใกล้ๆ ช่วงพระจันทร์เต็มดวง หรือในคืนจันทร์เต็มดวง ช่วง 2-3 วันก่อนและหลังพระจันทร์เต็มดวงด้วยก็ยังคงได้ผลดีเช่นกัน

ดวงจันทร์จะมีผลต่อสนามแม่เหล็กโลก ผีนั้นก็มีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าตามธรรมชาติอยู่และจะใช้พลังงานแม่เหล็กโลกในการปรากฏตัวด้วย

จะเริ่มล่า ghost ยังไงดี?


มีสถานที่ที่ว่ากันว่าถูกสิงอยู่มากมาย และก็มีกลุ่มวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่นับร้อยกลุ่มในอินเตอร์เน็ต ที่คุณสามารถเข้าไปถามถึงสถานที่ที่ถูกสิงในบริเวณนั้นๆได้ หรืออาจจะลองเข้าไปเป็นสมาชิกเพราะส่วนใหญ่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ที่ต้องจ่ายค่า membership ก็มีนะ ส่วน web board ไม่ว่าของที่ไหนก็เปิดกว้างให้คุณเข้าไปหาข้อมูลได้อยู่แล้ว



--------------------------------------------------------------------------------

ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?


ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เริ่มด้วยกล้องถ่ายรูป, สมุดจด, เข็มทิศ และไฟฉายก็พอแล้ว ถ้าจะให้ดีก็เอาเทอร์โมมิเตอร์กับเทปอัดเสียงไปด้วยซักหน่อย พอมีประสบการณ์ (และเงิน) เพิ่มขึ้นก็อาจจะลองหาอุปกรณ์แบบแอดวานซ์มาใช้บ้างก็ได้ แต่ราคาก็อยู่สูงระดับหมื่นบาทเลยนะ



--------------------------------------------------------------------------------

ใช้กล้องถ่ายรูปแบบทั่วไปหรือใช้กล้องดิจิตอลดีกว่า?


สำหรับ ghost hunter ที่เอาจริงก็คงพูดว่ากล้องแบบ 35mm นี่แหละดีกว่า! แต่กล้องทั้ง 2 แบบต่างก็มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย กล้อง 35mm สามารถถ่ายรูปที่ละเอียดกว่ากล้องดิจิตอลแทบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นที่แพงจัดๆ และการตัดต่อต้องเริ่มที่ฟิล์มซึ่งก็ทำได้ยากทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่ากล้องดิจิตอลที่แทบจะพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่กล้องดิจิตอลก็มีความสะดวกในการนำรูปขึ้น web มากกว่าหลายเท่า เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาตามจุดประสงค์ก็แล้วกัน



--------------------------------------------------------------------------------

ทำไม ghost ชอบออกมาตอนกลางคืน?


ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แพร่หลาย จริงๆแล้ว ghost ไม่ค่อยออกมาตอนกลางคืนเท่าไหร่หรอก มันเกิดขึ้นได้ทั้งวันแหละ แต่เหตุผลที่การสำรวจมักจะทำกันตอนกลางคืนก็เป็นเพราะจะได้ไม่มีใครเข้ามารบกวนไงล่ะ



--------------------------------------------------------------------------------

มีหนังสือดีๆให้อ่านเกี่ยวกับ Ghost Hunting บ้างมั้ย?


หนังสือเกี่ยวกับ Ghost Hunting มีอยู่นับพันเล่ม แต่ถ้าตั้งใจจะซื้อเล่มเดียวเลยก็ขอแนะนำ The Ghost Hunter's Guide Book โดย Troy Taylor ซึ่งให้รายละเอียดมากและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น หาซื้อได้ที่ Amazon.com และ Praireghosts.com หรือสั่งซื้อเอาตามร้านอย่าง Asia Book ก็ได้ ส่วนเล่มดีๆเล่มอื่นก็เช่น

The National Directory of Haunted Places โดย Dennis William Hauck

The Paranormal Investigator's Handbook โดย Valerie Hope และ Maurice Townsend

The Ghost Hunting Case Book โดย Natalie Osborne-Thomason

Complete Idiots Guide to Ghosts and Hauntings โดย Tom Ogden




--------------------------------------------------------------------------------

ghost มักจะปรากฏตัวในช่วงพระจันทร์เต็มดวงจริงหรือเปล่า?


ตามทฤษฎีขอตอบว่าใช่ เพราะ ghost ต้องใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการปรากฏร่าง และพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะเพิ่มขึ้นในช่วงข้างขึ้นและพระจันทร์เต็มดวง และก็เชื่อกันว่า Geomagnetic storm ก็ทำให้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ghost ก็เลยมีพลังงานให้ดูดซับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้นี่เอง สำหรับข้อมูลว่าพระจันทร์เป็นข้างขึ้นข้างแรมก็ดูได้ตามปฏิทินทั่วไป และการพยากรณ์ Geomagnetic storm ก็ดูได้ที่

Source: Dave Oester IGHS, Ghostweb.com

ผีคืออะไร??

ผีคือวิญญาณที่หลุดออกจากร่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งบางครั้งเขาก็มีเหตุผลที่จะอยากอยู่ต่อไปแม้จะตายก็ตาม. มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลในเรื่องของชีวิตหลังความตาย พลังงานที่เป็นวิญญาณนั้นไม่ได้ถูกทำลายเมื่อเขาตายลง แต่ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบไป. พลังงานนี้สามารถตรวจจับได้โดยเครื่อง EMF Meter ที่จะสามารถวัดพลังงานแม่เหล็กได้.
ตั้งแต่เราสามารถวัดค่าพลังงานจากสิ่งนี้ได้ เราก็รู้ว่าผีมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นสิ่งที่กุขึ้นหรือคิดไปเอง.



-: ควรจะกลัวผีดีมั้ย?

-: ต้องถามตัวคุณเองว่าคุณกลัวคนรึปล่าว, มันคงไม่น่ากลัว. ผีบางตัวอาจจะต้องการความช่วยเหลือ
เมื่อผีมาหลอกคุณ มันอาจจะต้องการทดสอบว่าคุณน่าไว้ใจได้แค่ไหน. จะช่วยเหลือได้หรือเปล่า หรือ
ตัดสินว่ามันคือสิ่งชั่วร้าย,ปีศาจ. ถ้าคุณลองพิจารณาและกล้าๆ ดูสักนิด เขาจะเริ่มเชื่อใจคุณ และคุณ
จะสามารถช่วยเหลือผีให้ไปสู่ความสุขได้. ผีก็คือชีวิตที่อยู่หลังความตาย เป็นคนที่ยังอยู่ แม้ตัวเขาจะ
ถูกเรียกว่าตายไปแล้วก็ตาม.



-: แล้วผีนี่มันไม่ดีใช่ไหม?

-: ผีโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผีดี เหมือนกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นคนดี. บางครั้งมีคนไม่ดีบ้าง ก็เหมือนผี
ที่บางตัวก็ไม่ดี.



-: ถ้าหากกลัวก็ทำพิธีขับไล่ในบ้านได้ใช่ไหม?

-: ความกลัวเกิดจากความไม่รู้. ถ้าคุณเข้าใจว่าผีนั้นอาจจะมีภารกิจต้องทำบางอย่างให้สำเร็จก่อนที่
จะย้ายไปยังดินแดนของพวกเขา. ถ้าเขาไม่มีที่อยู่และสับสน แถมคุณยังขับไล่ใสส่งให้พ้นจากบ้านเสียอีก
จะดีหรือถ้าคุณไม่คิดจะช่วยเขา. แทนที่เราจะไล่ผีออกจากบ้านเสียเฉยๆ เราควรพยายามทำความเข้าใจ
กับเขาและหากคุณช่วยแก้ปัญหาให้ผีได้. ลองคุยดูกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนธรรมดาๆ สักคนนึง.



เซอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ นักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษ
ได้กล่าวไว้ว่า ผีอาจเป็นไปได้จริง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผี คงอธิบาย
ได้ว่าเป็นภาพ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางจิตที่รุนแรง
ของผู้ตายที่กระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และประทับเป็นร่องรอยเอาไว้
สามารถทำให้บางคนที่มีประสาทสัมผัสไว เป็นพิเศษ รับคลื่นพลังงาน
ที่แปรเป็นสภาพของปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้นมาใหม่ได้


คำอธิบายของเซอร์โอลิเวอร์ อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง และดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของคนทั่วไป
ที่เชื่อว่า คนเมื่อตายแล้ว จะต้องกลายเป็นผีจนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่ ส่วนปรากฏการณ์
ที่เรียกกันว่า ผีหลอก นั้น คนส่วนมากเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ผู้ที่ตายไปยังไม่ยอมจากโลก
ไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นได้รับความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง เป็นต้นว่า ความเจ็บปวด ความคับแค้นใจ
อิจฉาหรือห่วงใยอาวรณ์ ที่ท่วมล้นจิตใจก่อนที่ผู้ตายจะจากโลกไป เช่นเราเชื่อว่า คนที่ตายอย่างปวดร้าว
กะทันหัน หรือคนที่มีห่วงมีใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม หรือ ผีที่เกิดจาก
แรงอาฆาต ความแค้น ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ข้อสนับสนุนความเห็นดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่
สถานที่ที่พบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับที่น่ากลัวนั้น มักจะเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
หรือบริเวณที่มีการตายเกิดขึ้นอย่างทารุณ เช่น ฆาตกรรม อัตวิบาตกรรม หลุมศพโบราณ สนามรบ หรือ
วินาศภัยที่มีคนตายมากมาย

ในบ้านเราเอง เรื่องของผีอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
ล้วนคุ้นเคยได้ยินได้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญทางวัตถุ
ยังเต็มไปด้วยป่าไม้ทุ่งนา ที่เป็นธรรมชาติเช่นนั้นมานานนับร้อยๆปี แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีหนังสือ
และภาพยนต์เรื่องผี และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติธรรมดาให้เห็นอยู่มากมาย

ปรากฏการณ์เบื้องหลังความตายที่อธิบายว่า
เห็นภาพวิญญาณของผู้ตายยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะความเชื่อของคนทั่วไป
ไม่ว่าจะถีอลัทธิศาสนาใดก็ตาม มักจะถือมนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณ
และวิญญาณก็ไม่ใช่ผี รูปที่เป็นผีนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ภาพร่างของมนุษย์
มีได้ทั้งผีในรูปของสัตว์และต้นไม้ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต


มีเรื่องเล่าไว้ในหนังสือรวบรวมเรื่องราวต่างๆของผีและเหตุการณ์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผี มีทั้งสิ่งที่อยู่ในร่างคน
สัตว์ สิ่งไม่มีชีวิต พันเอกแห่งกองทัพอังกฤษ และครอบครัวเพิ่งย้ายบ้านใหม่ เป็นบ้านโบราณและมีสนามหน้าบ้าน
ที่กว้าง มีทางรถวิ่งโดยรอบ จากประตูใหญ่เข้ามา ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มจะโพล้เพล้

นายทหารดังกล่าวและภรรยาพร้อมบุตรอีกสองคน กำลังนั่งที่ระเบียงของคฤหาสน์
หลังใหญ่ พลันมีรถเทียมม้าใหม่เอี่ยม และมีสีสันแพรวพราววิ่งเข้ามาตามทางวิ่ง ทั้งๆ
ที่ขณะนั้นประตูใหญ่ที่รั้วหน้าบ้าน ก็ยังปิดอยู่รถม้าได้วิ่งมาอย่างช้าๆ และทุกคนที่นั่งอยู่
ด้วยกันที่นั่นได้ยินเสียงของกีบม้า และเสียงล้อรถที่บดลงบนถนนอย่างชัดเจน
สักครู่รถม้าคนนั้นก็วิ่งมาหยุดลงที่ขอบสนาม ห่างจากตัวคฤหาสน์ไปไม่ไกลนัก เนื่องจาก
ช่วงนั้นเป็นเวลาเริ่มจะค่ำ แม้ว่าทุกคนจะยังคงมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน
แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นผู้ที่นั่งมากับรถม้านั้นได้ และแม้เวลาจะผ่านมาอีกชั่วครู่ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดลงจากรถม้า
ในที่สุดบุตรชายคนหนึ่งของนายทหารก็เดินลงมาที่สนามไปยังรถม้าคันนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้พอที่จะเห็นร่างของสตรี
แต่งตัวอย่างสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งในรถม้า เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ทั้งรถและม้าเทียมก็พลันละลายหายไปในอวกาศ
ไม่มีร่องรอยแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่า บ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของท่านลอร์ดและเลดี้ผู้สูงศักดิ์
ที่มีปัญหาเรื่องความรักสามเส้า ที่ทำให้ภรรยาท่านลอร์ดต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยความชอกช้ำระกำใจ
หลังจากนั่งรถม้ากลับมาบ้านแต่ผู้เดียวในเย็นวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น


นักจิตวิทยาสาขาเหนือธรรมชาติ โดยทั่วไป เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการตาย
และการสนองรับ ด้วยประสาทสัมผัสของผู้มีชีวิตอยู่เป็นเรื่องทางจิตที่ผู้ประสบนั้นๆ รับได้จริงๆ โดย
ไม่พยายามที่จะตอบคำถามว่าคนที่ตายไปแล้วกลายเป็นผี หรือผีเป็นเรื่องจริง เป็นสภาพหนึ่งหรือ
มิติหนึ่ง โลกหนึ่งของคนตาย นักจิตวิทยาจะแบ่งแยกประเภทปรากฏการณ์ที่เกิดหลังตายของผู้ที่
กำลังจะตาย หรือตายไปแล้ว ที่มนุษย์ธรรมดา สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น
ด้วยตา หู จมูก ไม่ว่าแยกกันหรือร่วมกัน ออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทลางสังหรณ์ กับ
ประเภทผีหลอก ประเภทลางสังหรณ์ ประเภทนี้จะเกิดเพียงครั้งเดียวและจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่
สนิทชิดเชื้อ หรือเพื่อนที่ผูกพันธ์กันเป็นพิเศษ เช่นแม่ฝันเห็นภาพของลูกที่มีเลือดท่วมตัวอยู่
ในสนามรบ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


มีรายงานเกี่ยวกับการได้ยินเสียงเรียกหรือ การได้กลิ่นศพ หรือกลิ่นธูป เมื่อประมาณ
สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะที่นายแพทย์ประสาน ต่างใจ ผู้เขียนหนังสือชีวิตหลังตาย
อยู่ที่เมืองบราซอฟ ที่โรมาเนีย ที่เมืองนี้เป็นเมืองแปลก มีกลิ่นของน้ำมันคลุ้งไปทั้งเมือง
ตลอดเวลา และเป็นกลิ่นที่เขาไม่คุ้นเคย มันเหมือนเป็นกลิ่นที่ได้จากการเผาน้ำมันเบนซิน
ที่ผสมกับกำมะถันเยอะๆ ดังนั้นเขาจึงปิดหน้าต่างห้องพักที่โรงแรมจนหมด

ในวันหนึ่งหลังทานอาหารกลางวัน เขาก็กลับไปพักในห้อง ประมาณราวๆ บ่ายสอง หรือบ่ายสามโมง
เขาได้กลิ่นธูปอย่างแรงอบอวลไปทั้งห้อง ทั้งๆ ที่หน้าต่างปิดทุกบาน ทีแรกเขาคิดว่า ชาวเอเชียที่มาพัก
ในโรงแรมเดียวกันกำลังทำพิธีอะไรอยู่ ก็เลยเปิดหน้าต่าง ออกไปดู ก็ได้แต่กลิ่นน้ำมันเหียนๆ จึงปิด
หน้าต่าง แล้วเปิดประตูออกไปเดินสำรวจทั้งชั้นนั้น ก็ไม่มีกลิ่นอะไร แต่พอกลับเข้าห้อง ก็ยังได้กลิ่นอยู่
เหมือนเดิม แถมยังมีกลิ่นธูปหอมด้วย มันอบอวลอยู่ชั่วครู่แล้วแล้วค่อยๆจางหายไป เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
จนกระทั่ง 4 วันต่อมา เขากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วจึงได้ทราบว่าคุณยายที่แก่มากแล้ว และผูกพันต่อเขาค่อนข้างมาก
ได้สิ้นชีวิตไปที่บ้าน เวลาที่คุณยายตาย ตรงกับวันนั้นพอดี และเวลาเมื่อเทียบกันแล้วก็เป็นเวลาเดียวกัน

อีกประเภทหนึ่งคือ ประเภทผีหลอก แท้ๆ ประเภทนี้เกิดจากการผูกพันกับ
สถานที่ บ้าน ห้องนอน เตียงนอน หลุมฝังศพ ถนน หรือผูกพันกับสาเหตุ
ที่ทำให้เกิดมีการตายนั้นๆ ประเภทนี้จะเกิดซ้ำกับใครก็ได้

สำหรับผู้ที่ศึกษาทางจิตศาสตร์ ศึกษาจิตที่เป็นวิญญาณ เช่น ผู้ทรงเจ้าเข้าเทพ
ผู้นั่งทางในติดต่อกับวิญญาณ ผู้มีความสามารถพิเศษทางจิต ไม่ว่าโดยมีอยู่เองหรือฝึกฝน
ขึ้นมาภายหลัง ได้กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสังคมไม่น้อย เพราะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อใน
เรื่องแบบนี้ เช่นหนังสือที่เขียนโดย เซอร์ โอลิเวอร์ ลอดจ์ ถึงการติดต่อระหว่างตัวเขาเองกับวิญญาณของบุตรชาย
ที่ตายไปในสงครามที่ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นหนังสือที่ประชาชนให้ความสนใจ

หากมองในอีกแง่หนึ่ง ทั้งหมดเป็น เรื่องของจิต เป็นเรื่องของความคิดความเชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด
และไม่ว่าจะอยู่ดีมีจน ชาติตระกูลหรือการศึกษา ก็ล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมมีการทำงานของสมอง
และความคิดในทำนองเดียวกันนี้ทั้งนั้น



ที่มา ชีวิตหลังตาย นายแพทย์ประสาน ต่างใจ